7. โกหกหน้าตาย

1698 คำ
ฮุ่ยอันถึงกับนิ่งไป เมื่อสังเกตเห็นหวังอวี้โหวมองมาที่ตนอย่างจับผิด หรือเขาจะจำแหวนในมือนางได้ “นั่นสิ เหตุใดสามีเจ้าถึงปล่อยให้เดินทางมาลำพัง แต่จะว่าไปข่าวที่ข้าได้ยินมา เจ้าอาศัยอยู่คนเดียวมิใช่หรือ” เฟิงหรานเอ่ยในสิ่งที่นึกได้ พร้อมกับเดินเข้ามาหาสตรีที่เขาเกิดพึงใจตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นหน้า “กระหม่อมว่า เรื่องนี้เราอย่าพึ่งมาซักไซ้ไล่เลียงนางเลยพ่ะย่ะค่ะ ปล่อยให้ไปปรุงยารักษาคนก่อนดีกว่า” หวังอวี้รีบเอ่ย เมื่อเห็นสหายจอมเจ้าชู้ยังไม่ลดละที่จะเกี้ยวสตรีนางนี้ “อืม นั่นสินะ เช่นนั้นข้ามอบให้เจ้าเป็นคนจัดการก็แล้วกัน ขืนให้อยู่ใกล้ข้า มีหวัง” คนเจ้าชู้หยุดคำของตนเอาไว้ พร้อมกันนั้นก็ใช้สายตาโลมเลียร่างอรชรอย่างโจ่งแจ้ง นี่คือสาเหตุที่ฮุ่ยอันเอ่ยว่าตนมีสามีแล้ว เพราะกิติศัพท์ความเจ้าชู้ของรุ่ยอ๋องผู้นี้ลือกระฉ่อนไปทั่วแคว้น สตรีใดที่ยังไม่ออกเรือน มักจะถูกเขาเกี้ยวพาอยู่เสมอ บางคนถูกรับไปเป็นอนุ ทว่าไม่นานเขาก็สั่งปลด จนถึงบัดนี้มีสตรีที่แต่งเข้าไปมากกว่ายี่สิบคนแล้ว แต่ไม่มีใครอยู่ได้เกินปีสักคน ดีหน่อยที่เขาไม่ยุ่งกับสตรีที่มีสามี หรือมีคนรัก ฮุ่ยอันคว่ำปากใส่รุ่ยอ๋องอย่างลืมตัว ดีที่ยังมีผ้าคลุมหน้าอยู่ มิเช่นนั้นหากมีคนเห็น นางคงถูกลงโทษก่อนได้ปรุงยาเป็นแน่ คนตรงหน้านอกจากจะเจ้าชู้แล้วยังโหดเหี้ยมอีกต่างหาก พอ ๆ กับบุรุษที่นั่งอยู่ขวามือนั่นแหละ “ข้าจะพาเจ้าไปที่เรือนพัก ตามมา” เสียงเย็นดังขึ้นเรียกสติคนที่กำลังเหม่อคิดไปเรื่อย ทำให้นางถึงกับสะดุ้ง ฮุ่ยอันจึงย่อตัวคาระวะรุ่ยอ๋อง ก่อนจะเดินตามร่างสูงของท่านโหวออกไป ตามมาด้วยคนสนิทเขาที่นางจดจำใบหน้าได้ดี ‘สวรรค์อย่าให้พวกเขาจำลูกได้เลยนะเจ้าคะ’ พึมพำอยู่ในใจ สายตาก็ลอกแลกเหลือบซ้ายขวาเพื่อระวังตัว ผ่านไปครึ่งชั่วยาม [หนึ่งชั่วโมง] รถม้าทั้งสองคันก็มาหยุดยังเรือนนอกเมือง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากค่ายผู้ป่วยนัก ทางด้านหลังติดกับคลองน้ำใสจนเห็นก้อนหินเบื้องล่าง คาดว่ามันคงเป็นสายเดียวกันกับลำธารในหมู่บ้านของนางเป็นแน่ ฮุ่ยอันจึงเดินไปหยุดมองด้วยความสนใจ “เรื่องน้ำมีพิษ เจ้าหมายถึงคลองน้ำสายนี้ใช่หรือไม่” หวังอวี้เอ่ยถามในขณะที่พวกเขายืนอยู่ริมฝั่ง “เจ้าค่ะ ทว่าข้าน้อยได้ตรวจสอบดูอีกรอบเมื่อสองวันก่อน พิษนี้กลับไม่มีหลงเหลืออยู่ในน้ำแล้ว คาดว่ามันคงสลายไปเองหลังจากแพร่กระจายบนผืนน้ำมาเป็นเวลานาน ความร้อนจากตะวันทำให้มันระเหยไปกับสายลมเจ้าค่ะ” บอกอย่างที่ศึกษามา “เจ้าแน่ใจหรือ” หันกลับมาถามคนที่ยืนห่างแค่ช่วงแขน “แน่ใจเจ้าค่ะ เพราะในหมู่บ้านและตำบลข้างเคียงไม่มีคนป่วยเพิ่มเลยในระยะสี่ห้าวันมานี้ ข้าน้อยเชื่อว่าพิษมันได้สลายไปแล้วจริง ๆ หากเป็นโรคระบาด อย่างไรก็ต้องมีคนป่วยเพิ่ม ไม่หยุดกระทันหันเช่นนี้แน่” เอ่ยจบนางก็ยอบกายนั่งลง ยื่นมือออกไปกวักน้ำเล่นเหมือนเด็กน้อย เพราะอากาศในช่วงนี้ร้อนมาก การได้สัมผัสน้ำเย็น ๆ ถือว่าช่วยได้มากทีเดียว หวังอวี้เหลือบมองแหวนที่มือนางอีกครั้ง เขาเริ่มมั่นใจแล้วว่ามันเป็นวงเดียวกันแน่ ‘หรือเจ้าหนุ่มนั้นจะหนีมาอยู่แถบนี้แล้วแต่งงานมีครอบครัว หึ! แผ่นดินนี้ช่างแคบนัก เอาไว้ให้จบงานนี้ก่อนเถอะ ข้าจะตามไปจัดการเจ้าให้ถึงที่เชียว’ คิดอย่างแค้นใจ เมื่อนึกถึงเรื่องราวในวันนั้น เกิดมาเขาไม่เคยเสียท่าผู้ใดเลย ทว่าเจ้าเด็กหนุ่มตัวแสบนั้น กลับทำเขาหลับไปกลางอากาศได้ มิหนำซ้ำยังหัวแตกเสียด้วย เจอเมื่อไหร่เขาจะเอาคืนให้สาสมเชียว ร้องขอชีวิตเพียงใดเขาก็ไม่มีทางละเว้น “อืม ข้าก็ได้รับรายงานมาเช่นนั้น ไม่มีคนป่วยเพิ่มขึ้นอีก นอกจากคนตาย” เอ่ยมาถึงตรงนี้เสียงเขาก็เบาลง “ทุกคนเกิดมาล้วนแต่ต้องตายเจ้าค่ะ” น้ำเสียงนางเหมือนปลงกับทุกสิ่งแล้ว ก่อนจะขยับลุกขึ้นยืนห่างจากเขาเล็กน้อย “ห้องปรุงยาอยู่ที่ใดเจ้าคะ ข้าน้อยจะได้เริ่มงาน คนที่ป่วยอยู่จะได้หายไวไว” บอกเขาเสียงอ่อนมีมารยาท เพราะตั้งใจให้มันเป็นเช่นนี้ นางเกรงท่านโหวจะจับพิรุธอะไรได้ โดยเฉพาะเรื่องแหวนที่เขามักจะมองมันอยู่ตลอด ทว่าการที่นางเอ่ยกับเขาโดยไม่หลบตา มันกลับทำให้หวังอวี้ได้สังเกตบางอย่าง ‘เหตุใดข้าถึงได้คุ้นดวงตานี้นักนะ’ เขานึกในใจจนเหม่อ “ท่านโหวขอรับ” โม่ฟานสะกิดผู้เป็นนายเพื่อดึงสติ เพราะเห็นจ้องสตรีตรงหน้าไม่กะพริบตาเลย หวังอวี้สะดุ้งเล็กน้อยตามมาด้วยอาการประหม่าที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว “เอ่อ…เมื่อครู่เจ้าว่าอันใดหรือ” เขาไม่ได้ฟังที่นางพูดจริง ๆ ยิ่งได้อยู่ใกล้ความสงสัยในใจเขามันก็ยิ่งมีมากขึ้น “ข้าน้อยถามถึงห้องปรุงยาเจ้าค่ะ อยากรักษาคนป่วยให้หายไวไว จะได้เสร็จสิ้นภารกิจนี้เสียที” บอกอย่างใจคิด นางไม่อยากอยู่ใกล้คนผู้นี้มากนัก กลัวความลับแตกและกลัวใจตนเอง เพราะหวังอวี้โหวถือว่าเป็นบุรุษรูปงามมาก อยู่ใกล้คนหล่อใครจะไม่วอกแวกบ้าง อีกอย่างนางก็เคยได้ลูบได้คลำมาแล้ว แค่เห็นหน้าเขาอีกครั้ง ความคิดสัปดนก็วิ่งวนอยู่ในหัว หากมีคนอ่านความคิดได้ คงด่าว่านางเป็นสตรีวิตถารเป็นแน่ “เจ้าคงรีบกลับไปหาสามีสินะ” แสร้งเอ่ยถาม “เขาตายจากไปแล้วเจ้าค่ะ ยามนี้ข้าน้อยอาศัยอยู่เพียงลำพัง แต่ที่เอ่ยไปเช่นนั้นก็เพราะไม่อยากให้รุ่ยอ๋องเข้าใกล้ สามีข้าน้อยเป็นคนดีมาก ข้าน้อยจึงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับบุรุษอื่นในช่วงที่ไว้ทุกข์ให้เขา อย่างน้อยให้ผ่านพ้นไปสักปีก็ยังดีเจ้าค่ะ” ประโยคท้ายนางเอ่ยเสียงเครืออย่างน่าสงสาร ทว่าเรื่องราวที่นางกล่าวมาล้วนแต่โกหกทั้งเพ ฮุ่ยอันกำลังหาทางรอดให้ตนเองต่างหาก เพราะหวังอวี้โหวพยายามจับผิดนางอยู่ เมื่อได้ยินสตรีตรงหน้าเอ่ยเล่าความเป็นมาให้ฟัง ท่านโหวก็ถึงกับนิ่งไป ไม่ต่างจากคนสนิทเขาที่ยืนอยู่โดยรอบ “สามีเจ้าตายแล้วงั้นหรือ” เอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าค่ะ ถูกโจรป่าฆ่าตาย” ยังโปปดไปเรื่อย พร้อมกับบีบน้ำตาจนเอ่อคลอเต็มเบ้า ตามมาด้วยเสียงสะอื้นอย่างน่าสงสาร “ขะ…ข้าขอโทษที่ถาม โม่ฟานเจ้าพาท่านหมอไปห้องปรุงยา ข้าจะไปสืบดูว่าใครกันที่วางยาพิษลงคลอง” ออกคำสั่งแล้วเขาก็รีบเดินแยกออกไป เพราะหวังอวี้ไม่ชอบเห็นสตรีร้องไห้ ฮุ่ยอันเหลือบมองตามร่างสูงแล้วก็ลอบยิ้มอยู่ภายใต้ผ้าคลุม นึกไม่ถึงว่าเขาจะเชื่อง่ายเพียงนี้ ชื่อแซ่ตนก็คล้ายคลึงกันแต่เหตุไฉนหวังอวี้โหวยังเชื่อว่าเป็นคนละคน “หรือเขาไม่ได้สืบเรื่องที่เราเข้าไปอยู่ในจวน” พึมพำกับตนเองในขณะเดินตามองครักษ์ไปยังห้องปรุงยา ซึ่งบรรยากาศในเรือนนี้ดีมาก แบ่งแยกออกอย่างชัดเจน มีระเบียงยื่นออกไปที่คลองน้ำ ด้านล่างมีฝูงปลากำลังแหวกว่ายเต็มไปหมด “ท่านหมอต้องการสิ่งใดก็แจ้งเราได้เลยนะขอรับ” โม่ฟานกล่าวแล้วก็ถอยออกมายืนข้างประตู “ขอบคุณใต้เท้า เช่นนั้นท่านช่วยจัดหาสมุนไพรเหล่านี้มาให้ข้าที หากเป็นไปได้หามาให้มากเท่าที่จะมากได้นะเจ้าคะ” เอ่ยกับคนที่ตนเคยทำให้หมดสติ ดูท่าอีกฝ่ายคงจำนางไม่ได้จริงๆ ถึงได้มีท่าทีนอบน้อมเพียงนี้ “ขอรับ ข้าจะรีบไป” สิ้นคำเขาก็รีบออกไปจัดการ ฮุ่ยอันมองตามร่างสูงขององครักษ์หนุ่มแล้วก็ถอนใจ ก่อนจะเดินมาสำรวจดูภายในห้องว่ายังขาดเหลือสิ่งใดหรือไม่ นับจากนั้นนางก็เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องเพื่อปรุงยาให้เพียงพอกับคนป่วย กระทั่งผ่านมาได้ห้าวันแล้ว ความต้องการยาก็เริ่มลดน้อยลง ทำให้นางมีเวลาได้ยืดเส้นยืดสายบ้าง “พักหน่อยดีกว่า ยาที่ปรุงน่าจะเพียงพอสำหรับรักษาคนแล้วล่ะ” เอ่ยกับตนเองก่อนจะลุกเดินออกไปที่ระเบียง บิดซ้ายขวาตามประสาคนเมื่อย ก่อนจะเดินไปหย่อนขาที่บันได ความเย็นของน้ำทำให้คนเหนื่อยล้ารู้สึกสดชื่นขึ้น นางจึงปลดผ้าคลุมออกเพื่อชำระล้างใบหน้าให้ตื่นตัว โดยไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนยืนมองอยู่ตรงข้างเรือน คราแรกหวังอวี้จะเอ่ยปากเรียกแล้ว ทว่าเห็นนางดูผ่อนคลายมีความสุข เขาจึงยืนมองอยู่เฉย ๆ “นึกไม่ถึงเลยว่าท่านหมอจะงามเพียงนี้” โม่ฟานเอ่ยขึ้น สายตาเขายังคงจับจ้องที่เสี้ยวหน้าของหญิงหม้ายสามีตายไม่ต่างจากผู้เป็นนาย ซึ่งตอนนี้สาวเท้าเข้าไปหานางแล้ว ท่าทางหวังอวี้โหวเหม่อลอยราวกับต้องมนต์ #โอ๊ย!ลูกสาว ทำไมแถไปเรื่อยแบบนี้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม