ทำเอาเพ่ยหลันถึงกับยิ้มแห้ง ไม่คิดว่าเขาจะเชื่อใจยอมให้นางเอาเข็มทิ่มง่ายๆ แต่ก็อย่างว่าเจ็บป่วยมานานคงทรมานจนอยากตายแล้วล่ะ ที่สำคัญเขาเป็นนักรบบาดแผลบนตัวน่าจะเจ็บกว่าเข็มทิ่มเป็นไหนๆ
“งั้นข้าจะลงมือเลยนะ” ว่าแล้วร่างเล็กก็เดินไปหยิบห่อเข็มบนโต๊ะ นางเหน็บเอาไว้ที่ขอบเชือกผูกเอว เพราะต้องถอดเสื้อของคนป่วยออก ท่าทางคล่องแคล่วเพราะสัญชาตญาณความเป็นหมอ นางไม่นึกอายอีกฝ่ายเลย แผงอกที่เคยแน่นเต็มเมื่อเดือนก่อน ยามนี้แห้งจนมองเห็นซี่โครงโผล่ออกมา เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก แต่คนที่กำลังทำการรักษากลับมิได้ใส่ใจ มือเล็กหยิบเอาเข็มออกมา นางจิ้มมันลงที่ไหปลาร้าทั้งสองข้าง
ก่อนจะเดินอ้อมมาที่ด้านหลัง แล้วจิ้มเข็มลงไปที่ต้นคอ ไม่กี่อึดใจร่างกายของอ๋องหนุ่มก็สั่นเทา ความทรมานเกาะกินร่างกายจนปั่นป่วน เพ่ยหลันยืนมองท่าทางของเขา รู้สึกสงสารไม่น้อยแต่ก็ต้องรอดูอาการต่อจากนี้ ซึ่งต่อมาโจวสุ่ยก็กระอักเลือดสีดำออกมาผสมกับน้ำในถัง
“ท่านอ๋อง!! เกิดอะไรขึ้นเหตุใดเป็นเช่นนี้” หยางลู่มาถึงพอดี พร้อมกับใต้เท้าเสวียน สหายของอ๋องแปด
“เจ้าทำอันใดท่านอ๋อง” ผู้มาใหม่ตวาดเสียงดัง พร้อมกับชักดาบออกมาจี้คอสตรีตัวน้อย ที่พอกหน้าจนขาววอก
“ยะ..อย่า” เสียงแหบพร่าเปล่งออกมา ทำให้คนสนิทที่เฝ้าดูแลมานานถึงกับน้ำตาซึม เพราะนี่คือเสียงแรกตลอดหนึ่งเดือนมานี้ ตั้งแต่ท่านอ๋องล้มป่วยก็ไม่เคยได้ยินอีกเลย
“ข้าแค่ฝังเข็มขับเลือดพิษ เผอิญว่ามันได้ผล พวกท่านก็เข้ามาได้จังหวะเสียจริงนะ อุตส่าห์ช่วยยังจะมาว่าอีก ทิ้งให้ข้าดูแลอยู่คนเดียวมาถึงก็เอาแต่บ่น” เพ่ยหลันร่ายยาวมิเกรงดาบที่จี้อยู่บนคอแม้แต่น้อย
“จริงหรือ?” เสวียนอี้ถามกลับเสียงเบา เพราะยามนี้ได้รับสายตาตำหนิจากสตรีตัวน้อยจนเขารู้สึกผิด
ปากน้อยคว่ำลงพร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยหางตา ก่อนจะเดินมาดึงเข็มออกจากตัวของคนป่วย “พาขึ้นจากน้ำเถอะ พิษถูกขับออกบ้างแล้วต่อไปก็แช่แค่วันละหนึ่งหรือสองชั่วยามก็พอ จากนี้ก็ดื่มยาควบคู่ไปด้วยน่าจะดีขึ้น ข้าจะไปรักษาคนรักของหรานเอ๋อ” เอ่ยจบมือเล็กก็เก็บเข็มสอดใส่ช่องตามเดิม นางม้วนห่อผ้าแล้วก็เหน็บที่เอว
ทั้งสามมองตามร่างเล็กเดินออกจากห้อง ท่าทางของเพ่ยหลันนั้นไม่เกรงกลัวผู้ใดแม้แต่น้อย และไม่มีท่าทีอ่อนน้อมอย่างที่สาวใช้พึงกระทำ หากมาได้ยินถ้อยคำของนางก่อนนี้คงหาว่าเป็นคนเสียสติเป็นแน่ มีแค่โจวสุ่ยเท่านั้นที่ได้ยินคำพูดของนางทุกอย่าง
ห้าวันหลังจากนั้น คนที่นอนเป็นผักลุกไม่ขึ้น ก็สามารถเดินเหินได้ แต่ร่างกายยังต้องพักฟื้นต่อจึงมิได้ออกมานอกห้อง ทว่าข่าวคราวนี้ก็รู้ถึงคนภายนอกแล้ว
ส่วนเพ่ยหลันต้องแอบออกไปรักษาคนป่วยโดยมีเสวียนอี้เป็นผู้อารักขาตามคำสั่งของโจวสุ่ย เพื่อมิให้มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเป็นสาวใช้ของเขาที่ช่วยชีวิตคนในจวนไว้ เกรงว่าผู้ที่ลงมือจะเพ่งเล็งมาที่นาง และถูกหมายหัว
“หากมิได้เจ้าสองคนท่านอ๋องก็คงมิหาย พวกเราก็คงมิได้กินของดีๆ อีก ขอบใจนะ” เสียงสาวใช้นางหนึ่งเอ่ยขึ้น ทำเอาคนที่ถูกชื่นชมถึงกับคว่ำปากใส่ ก่อนนั้นนางยังทำท่ารังเกียจตน กล่าวว่าป่วยเป็นโรคมิต่างจากผู้เป็นนาย
“เจ้ามินึกอายบ้างหรือ ก่อนนี้เจ้ามองข้าราวกับตัวประหลาด แต่ยามนี้กลับเอ่ยวาจาชื่นชม ขอโทษนะ ข้าทนฟังไม่ได้หรอก” เอ่ยจบก็วางตะเกียบลง ร่างเล็กลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องทานอาหารรวมของเหล่าสาวใช้และคนงานของจวนนี้ ซึ่งมีมากกว่าสามสิบคน
แต่ตอนที่ผู้เป็นนายป่วยกลับมิมีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ เป็นเหตุให้สองวันต่อมาเมื่ออ๋องแปดอาการดีขึ้น เขาออกคำสั่งขับไล่ทั้งหมดออกไปเหลือไว้แค่หรานเอ๋อและเพ่ยหลัน
“โอ๊ย! จะบ้าตายทำไมเขาไม่เหลือไว้สักสองสามคนนะ จวนออกจะใหญ่โตปานนี้สองคนจะทำความสะอาดยังไงหมด ใจร้ายมาก ใจร้ายจริงๆ” เสียงบ่นดังขึ้นในครัว เพราะตอนนี้เพ่ยหลันต้องลงมือทำอาหารเอง
“เจ้าหมายถึงข้าหรือ” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาคนที่กำลังถือไม้พายผัดอาหารในกะทะชะงัก แต่นางก็หาได้กลัวเจ้าของจวนผู้นี้ไม่
“ก็รู้ตัวนี่” ตอบกลับโดยไม่มองว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าเช่นไร นางหันกลับมาสนใจกะทะต่อ โจวสุ่ยยืนมองร่างเล็กโดยไม่ส่งเสียงตำหนิแม้แต่น้อย คนสนิททั้งสองมองด้วยสายตาคมดุ มิพอใจที่นางเอ่ยเช่นนี้ เพราะผู้เป็นนายสูงศักดิ์คนสามัญมิอาจล่วงเกินได้