เพราะอ๋องหนุ่มรับรู้ถึงตัวตนสตรีผู้นี้ ในยามที่ทุกคนคิดว่าเขามิได้สติ แต่แท้ที่จริงรับรู้ทุกอย่างและได้ยินทุกคำ เพียงแต่บางประโยคไม่เข้าใจ แต่ก็พอจับใจความคำพูดของสาวใช้ผู้นี้ได้ โดยเฉพาะถ้อยคำที่ว่า “ทำไมเราไม่เกิดใหม่เป็นชายาเหมือนในนิยายนะ ดันมาอยู่ในร่างของสาวใช้เสียได้ แบบนี้ก็ถูกข่มเหงแยกชนชั้นเหมือนในประวัติศาสตร์ที่เรียนมาน่ะสิ” มันยังติดอยู่ในหัวเขา
“เอาเถอะ อย่าได้ตำหนินางอีกเลย เพ่ยหลันอยู่แต่ในครัว มิค่อยได้ออกมาข้างนอกนักจึงมิรู้มารยาท” ถ้อยคำของอ๋องแปดฟังดูเหมือนจะแก้ต่างให้ แต่ถ้าฟังดีๆ เขาก็ต่อว่านางอยู่กลายๆ จนเพ่ยหลันเหลือบตามองอย่างลืมตัว
“หึ! ดูท่าคงอยากจะขย้ำข้าเต็มที” อ๋องหนุ่มนึกในใจ พร้อมกับยกยิ้มเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้
“อาหารจะเย็นชืดหมดแล้ว ท่านอ๋องเสวยเถอะพ่ะย่ะค่ะ ประเดี๋ยวหมอหลวงจะมาตรวจอาการ” หยางลู่เอ่ย
“มีหมอเทวดาอยู่แล้วไยต้องให้หมอหลวงมาตรวจอีก มิต้องรบกวนผู้อื่น ข้าจะให้เพ่ยหลันรักษาต่อ” โจวสุ่ยบอกเสียงเย็น จนคนสนิทถึงกับหน้าถอดสี
“พี่แค่จะมาดูอาการเจ้า พูดได้ขนาดนี้คงหายดีแล้วกระมัง เช่นนั้นพี่จะได้เดินทางอย่างสบายใจเสียที”
โจวสุ่ยเงยหน้ามองพระเชษฐาแล้วเอ่ย “เดินทางปลอดภัยนะพ่ะย่ะค่ะ ระวังตัวให้มาก หากกระหม่อมแข็งแรงแล้วจะตามไปโดยเร็ว”
“พักให้หายดีเถอะ กลุ่มโจรแค่นี้ไม่ทำให้เสียแรงมากหรอก มีคนของเจ้าไปช่วยด้วย มิมีสิ่งใดน่าห่วงเลย” ผู้พี่บอกอย่างที่คิด แม้โจรภูเขาจะเก่งกาจจนต้องใช้เวลาปราบแรมปี แต่ฟูหรงก็มีฝีมือมากพอ น่าจะสำเร็จได้ง่าย
“อย่างไรก็อย่าประมาทนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้น่า มิต้องย้ำราวกับข้าเป็นเด็กหรอก”
โจวสุ่ยนั่งมองพระเชษฐาเดินออกจากห้องโถงจนกระทั่งพ้นประตูจวน จึงได้หันมาสั่งคนของตนให้นั่งลงทานข้าว แต่สองคนสนิทและหรานเอ๋อก็มิกล้า ต่างจากสตรีตัวน้อยที่รีบหย่อนก้นลงทันที
“เพ่ยหลันนี่เจ้า!!” หยางลู่ยังคงเอ่ยตำหนิ ต่างจากหานจิ่งที่มิเอ่ยสิ่งใดเลย เพราะเขาสำนึกบุญคุณที่นางช่วยชีวิตจนได้มายืนอยู่ที่นี่ แต่สหายนั้นเป็นคนเคร่งครัด ในกฎมาแต่ไหนแต่ไร จึงมิชอบที่เพ่ยหลันทำตัวลุ่มล่าม
“หยางลู่ หากเจ้าไม่กินก็อย่าได้เที่ยวตำหนิผู้อื่น ข้าเป็นคนบอกให้นั่งเอง ไยเจ้าถึงกล้าขัด” เสียงเย็นเปล่งออกมา ทำเอาทั้งสามต่างก็พากันรีบนั่งลง “ยามนี้ในจวนก็มีแค่เรา ไยต้องเรื่องมากกันด้วย ผู้ที่อยู่ตรงนี้ล้วนแต่มีบุญคุณต่อกันทั้งนั้น ต่อไปอย่าให้ข้าได้ยินถ้อยคำเช่นนี้อีก” คำสั่งของอ๋องแปดดังตามมาอีกรอบ
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” สองสหายรับคำ หลังจากนั้นบรรยากาศในการทานอาหารก็ดูวังเวงขึ้นมา
แต่จะมีอยู่หนึ่งคนที่ไม่ได้สนใจสิ่งใด เอาแต่คีบอาหารที่ตนทำใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งมันก็ทำให้อีกสามคนผ่อนคลายลง ยิ่งได้ชิมรสมือของเพ่ยหลัน ทั้งสี่ก็ถึงกับวางตะเกียบไม่ลง จนกระทั่งจานอาหารนั้นมิมีเหลือเลยสักชิ้น
“เพ่ยหลัน ไยเจ้าถึงทำอาหารอร่อยนัก” หรานเอ๋อถามขึ้นหลังจากทานกันเสร็จแล้ว ซึ่งอีกสามคนก็คงอยากรู้เช่นกัน ถึงได้จ้องนางตาไม่กะพริบ
“เอ่อ..เรื่องนี้..ข้าก็เรียนรู้จากพ่อครัวคนก่อนไง” ตอบในสิ่งที่คิดได้ เพราะถ้าบอกความจริงใครมันจะเชื่อกันล่ะ
“แน่ใจหรือ คิดว่าเป็นอาหารจากอีกยุคเสียอีก” โจวสุ่ยเอ่ยพร้อมกับมองใบหน้าสาวใช้ ซึ่งยังมีจุดแต้มสีขาวบนหน้าเช่นทุกวัน แม้ว่ารอยตุ่มแดงจะจางหายไปบ้างแล้ว
หลังจากอ๋องแปดเอ่ยคำประหลาดออกมา ทั้งโต๊ะก็มึนงง มีเพียงผู้ที่มาจากยุคอื่นเท่านั้นที่นั่งนิ่ง กลืนน้ำลายเหนียวลงคอ เพราะประโยคนี้ท่านอ๋องไม่น่าจะพูดออกมาได้ หากมิใช่ตอนที่นางรักษาเขา อีกฝ่ายได้ยินมันทุกคำ
“อีกยุค? หมายถึงสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” หานจิ่งเอ่ยถามแทนสหายที่มีสีหน้าอยากรู้ไม่ต่างกัน
“ไม่มีสิ่งใดหรอก ข้าก็พูดไปเรื่อย แยกย้ายกันไปพักเถอะ ส่วนเจ้าไปนอนที่ห้องข้า เผื่อมีงานให้ทำ” ใบหน้าคมคายของอ๋องแปดหันมาทางเพ่ยหลัน นางยกมือขึ้นใช้นิ้วชี้หน้าตนเอง เป็นคำถามที่ไม่ต้องเอ่ย คำตอบที่ได้คือการพยักหน้าของท่านอ๋อง ทำเอาทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะถึงกับเป็นงง เพราะผู้เป็นนายมิเคยให้สตรีเข้าห้อง
“ไปเตรียมที่นอนมาให้เรียบร้อย อย่าให้ข้าต้องรอนาน เจ้าสองคนตามข้าไปด้วย” เอ่ยจบร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน
ทว่าสายตาคมนี้ยังคงเหลือบมองมายังสาวใช้ตัวน้อย ที่เอาแต่ย่นคิ้วขมวดเข้าหากัน
“รีบไปสิ” เสียงทุ้มเปล่งออกมาทางเพ่ยหลัน นางจึงรีบย่อตัวลงยกมือประสานกันแล้วออกจากห้องนี้
ผ่านไปหนึ่งเค่อ [15นาที] ร่างเล็กของสาวใช้ตัวน้อยหยุดอยู่ที่กลางห้องของผู้เป็นนาย “นี่เขาจะให้เรานอนเฝ้าจริงๆ เหรอ คิดอะไรของเขาเนี่ยะ” บ่นในใจพร้อมกับเหลือบตามองเล็กน้อย ยามนี้อ๋องแปดกำลังหารือกับคนสนิทเรื่องราชสาส์นที่มีพิษเคลือบเอาไว้
“มานั่งนี่” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกผู้ที่ยืนนิ่ง คิ้วสวยผูกกันเป็นปมพร้อมกับถอนหายใจ แต่ก็จำต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายมิอาจขัดได้แม้เพียงนิด
“คืนนี้นอนพื้นไปก่อน วันพรุ่งข้าจะให้คนเอาเตียงเล็กมาเสริม มีสิ่งใดสงสัยหรือไม่”
“ข้า..เอ่อ หม่อมฉันสามารถพูดได้หรือเพคะ” ถามกลับพร้อมกับเลิกคิ้วใส่ท่าทางกวน
“หึ! เหมือนเจ้าจะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าต่อให้กล่าวสิ่งใดก็ไม่เป็นผล เช่นนั้นก็เก็บเสียงไว้เถอะ” คนรู้ทันเอ่ย
เพ่ยหลันมองอีกฝ่ายพร้อบกับหายใจแรง ในใจนั้นขุ่นมัวมิน้อย ถึงกระนั้นก็ทำได้เพียงก้มหน้ารับชะตากรรม จนกระทั่งคนสนิทออกจากห้องไป สาวใช้ตัวน้อยจึงจัดการปูผ้าที่มุมห้อง แต่กลับถูกท่านอ๋องลากมาที่หน้าเตียงแทน
“นอนตรงนี้ ข้าจะได้เรียกใช้สะดวกขึ้น”
เพ่ยหลันมองท่านอ๋องด้วยหางตา พร้อมกับยู่หน้าใส่มิได้มีท่าทีเกรงกลัวเขาสักนิด โจวสุ่ยส่ายหัวให้กับการกระทำของนาง พร้อมกับยื่นมือเรียวยกขึ้นยีหัวจนยุ่งเหยิง
“นอนได้แล้ว” บอกแล้วก็เดินมานั่งลงที่เตียงกว้าง ริมฝีปากหนายกยิ้มเล็กน้อย ซึ่งสาวใช้ทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้แล้ว “ดูท่าคงจะเหนื่อยมาก ข้าจำต้องเก็บเจ้าไว้ใกล้ตัวเพ่ยหลัน ชีวิตเจ้ายามนี้อาจมิปลอดภัยนัก” ที่เขาคิดเช่นนี้ก็เพราะเกรงว่าจะมีคนเอาชีวิตนาง หากรู้ว่าผู้ใดที่รักษาเขาจนหายดี
และอีกอย่างที่คนของเขาสืบรู้มา มันคือเบื้องหลังของเพ่ยหลันต่างหาก นางคือคนของอ๋องเก้า ฝ่ายที่คอยขัดขวางทำทุกอย่างเพื่อมิให้เขาฟื้นขึ้นมาอีก สาเหตุที่หยางลู่หายไปนานในตอนที่เขารักษาตัว เป็นเพราะถูกคนของพระเชษฐาและอนุชาสกัดกั้นเอาไว้ แต่เหตุใดเล่านางถึงช่วยรักษาและดูแลเขาอย่างดี แทนที่จะลงมือในยามที่เขามิได้สติและไม่มีผู้ใดอารักขา อ๋องแปดจึงพยายามปกป้องผู้มีพระคุณของตน