ครึ่งเดือนผ่านไป โจวสุ่ยและคนสนิทยังคงนอนซมอยู่บนเตียง แม้จะได้รับการรักษาโดยกินยาและฝังเข็ม แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่มีท่าทีจะดีขึ้นเลย ซ้ำยังทรุดหนักลงอีก กลายเป็นข่าวใหญ่ดังไปทั่วเมืองจนห้ามจัดงานฉลองใดๆ ในยามนี้
เพ่ยหลันยืนมองเรือนหลังใหญ่ของจวนพร้อมกับเผยยิ้ม หากอ๋องแปดสิ้นใจ นางก็จะได้ไปอยู่รับใช้อ๋องเก้าเช่นเดิม วันนี้จึงออกมาเดินเล่นในตลาด แต่กลับถูกสายตาของชาวเมืองมองอย่างหวาดกลัว เพราะรู้ดีว่านางเป็นคนของใคร จึงเกิดความรังเกียจขึ้นมา
“ไปให้พ้นเลยนะ อย่าเดินมาร้านข้า” เสียงตวาดดังลั่น เมื่อสตรีตัวน้อยหมายจะเดินเข้าไปดูปิ่นที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ใช่ๆ ไปให้พ้น เราไม่ต้อนรับคนจากจวนอ๋องแปด” เสียงสำทับดังขึ้นมาเสริม ทำเอาผู้คนที่เดินอยู่เริ่มหาบางสิ่งขว้างปา พร้อมกับถือไม้ไล่ทุบตีอย่างน่าเวทนา
“ช่วยด้วย!! ข้ามิได้ป่วยนะ อย่าทำข้า!” เพ่ยหลันร้องเสียงหลง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะใบหน้านางนั้นมีตุ่มแดงหนองขึ้นเต็มหน้า ทำให้ชาวเมืองพากันเข้าใจผิด คิดว่าป่วยเป็นโรคติดต่อเช่นผู้เป็นนาย
“ทางนั้น นางวิ่งไปจวนอ๋องเก้าแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นตามหลัง ร่างเล็กรีบวิ่งหน้าตื่น ใบหน้ามีโลหิตไหลย้อยลงมา เพราะถูกตีที่หัว แต่ถึงกระนั้นเพ่ยหลันก็ยังกัดฟันหนีต่อ หวังจะไปพึ่งใบบุญของจางเหรินให้ช่วย เพราะอย่างไรนางก็ทำงานให้เขา อีกฝ่ายไม่ทอดทิ้งเป็นแน่
นางวิ่งมาจนถึงสะพานไม่ไกลจากจวนอ๋องเก้าก็หยุดพัก เพราะไม่มีใครตามมาแล้ว ร่างเล็กยืนแนบราวสะพานหอบหายใจถี่ แต่จู่ๆ สองขาก็ลอยขึ้น ก่อนที่เพ่ยหลันจะล่วงหล่นตกคลองน้ำลึก โดยไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เลย เพราะนางว่ายน้ำไม่เป็นและไม่มีผู้ใดพบเห็น
“ช่วยด้วย!! ช่วยข้าด้วย ข้ายังไม่อยากตาย” เสียงร้องดังขึ้นเพียงแค่นั้นก็หายเงียบไป
ร่างเล็กจมดิ่งสู่ก้นบึ้งของลำคลองใสอย่างง่ายดาย ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครเห็นว่านางอยู่ใต้น้ำ เพราะแถวนี้เป็นเขตของจวนอ๋องเก้า หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่มีผู้ใดผ่าน ดวงตาสวยมองภาพเบื้องบนที่ริบหรี่มืดสลัวลงทุกที พร้อมกับเวทนาชะตาชีวิตของตนเองที่เกิดมาอาภัพนัก ไม่กี่อึดใจทุกอย่างก็ดับวูบลง มีเพียงความมืดเข้าปกคลุม
จวนอ๋องแปด
ลู่หยางกำลังเช็ดตัวให้ผู้เป็นนาย ซึ่งยังมีสติอยู่ เพียงแต่ร่างกายไร้เรี่ยวแรง “ท่านอ๋องเจ็บปวดตรงไหนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงนี้ฟังดูเป็นห่วงยิ่งนัก แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีแรงจะตอบ เพราะแค่ขยับปากจะเอ่ย เสียงมันกลับไม่มีเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน
“เกิดอันใดขึ้นกันแน่ พระองค์ไม่เคยเสด็จไปที่ใดเลย ไยถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้” เอ่ยพรางทอดถอนใจ มองผู้เป็นนายที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง “กระหม่อมจะเชิญหมอผีมาปัดรังควาน เผื่ออะไรจะดีขึ้นบ้าง”
โจวสุ่ยได้แต่ขยับดวงตามองคนสนิท ในใจเปล่งเสียงดังบอกเขาว่าอย่าได้เชื่อเรื่องงมงาย แต่ก็ทำได้เพียงมองแผ่นหลังหยางลู่เดินออกไปจนลับตา
“ข้าป่วยได้อย่างไรกัน แล้วเหตุใดถึงมีแค่ข้ากับหานจิ่ง ไยคนในจวนถึงไม่เป็นอะไรเลย” อ๋องหนุ่มคิดในใจ เขามองหาต้นเหตุของการล้มป่วยครานี้ไม่เจอ เพราะตั้งแต่กลับมาจากทำศึกก็มิได้ออกไปไหน
แต่ในขณะที่กำลังคิดอยู่เงียบๆ เสียงคนพูดคุยด้านนอกก็ดังขึ้น “ดูเหมือนจะเกิดเรื่อง” โจวสุ่ยเอ่ยในใจอีกครั้ง พอดีกับประตูห้องเปิดออก ร่างสูงของคนสนิทเดินตรงเข้ามาคุกเข่าข้างเตียง พร้อมกับเอ่ยรายงาน
“ท่านอ๋องคงอยากทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้น พอดีมีสาวใช้ออกไปข้างนอกนางถูกทำร้ายบาดเจ็บซ้ำยังตกสะพาน คนของเราเห็นนางเดินสะเปะสะปะตัวเปียกจึงพากลับมา แต่นางโวยวายบอกแต่ว่าจะกลับบ้านท่าเดียว ดูท่าบาดแผลบนหัวจะทำให้จำสิ่งใดมิได้พ่ะย่ะค่ะ”
ถ้อยคำที่คนสนิทบอกเล่าทำให้โจวสุ่ยรู้สึกอนาถยิ่งนัก ไม่ต้องสงสัยว่าเหตุใดสาวใช้ผู้นั้นถึงถูกทำร้าย ต้องเป็นเพราะนางเป็นคนของจวนอ๋องแปด จึงทำให้ทุกคนรังเกียจเกรงว่าจะนำโรคภัยออกไปติดเป็นแน่
“ฝ่าบาทพึ่งส่งยามาให้ กระหม่อมจะป้อนนะพ่ะย่ะค่ะ” กาต้มยาขนาดเล็กถูกยกออกจากเตา หยางลู่ค่อยๆ เทลงใส่ถ้วย ไอร้อนคละคลุ้งส่งกลิ่นสมุนไพรแต่ทั้งคนต้มและคนดื่มต่างก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะได้ผลหรือไม่ แค่ทำทุกอย่างที่คิดว่าดีเท่านั้นเป็นพอ