ดวงตากลมโตคู่สวยแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าอีกครั้ง อีกไม่กี่วันข้างหน้าป้ามาลาก็จะพาเธอไปพบหมอเพื่อยุติการตั้งครรภ์ เป็นเรื่องที่น่ากลัวชวนให้วิตกจริตอยู่มาก เธอจะทำแบบนั้นได้ลงจริงน่ะเหรอ เขาต้องทำแบบไหนนะถึงจะเอาก้อนเลือดที่กำลังมีชีวิตออกมาได้ แล้วเธอจะเป็นแม่ที่ใจร้ายเกินไปมากหรือเปล่าที่กล้าฆ่าคน ๆ หนึ่งได้ลงคอ แล้วถ้าไม่ทำแบบนั้นล่ะเธอจะมีปัญญาดูแลชีวิตใครได้หรือเปล่า?
ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ยิ่งคิดยิ่งทำให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอจะหาทางออกได้ เงินทองก็ไม่มีจะเก็บแค่ชีวิตมีลมหายใจอยู่ไปวัน ๆ ได้ก็บุญแค่ไหนแล้ว
"แม่จ๊ะวาคิดถึงแม่เหลือเกิน ตอนนี้แม่จะทำอะไรอยู่นะ รอวาอีกนิดนะแม่นะ สักวันวาจะทำให้แม่สุขสบายให้ได้"
เมื่อคิดถึงชีวิตที่เคยลำบาก ทำให้อยากก้าวผ่านทุกอุปสรรคในวันนี้ไปให้ได้
"มานั่งทำอะไรตรงนี้น่ะ ดึกดื่นแล้วไม่ไปหลับไปนอนหรือยังไง?"
เสียงทุ้มฟังดูคุ้นหูเอ่ยถามขึ้น ทำให้คนที่กำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ถึงกับสะดุ้งตกใจ วาสิตาหันไปมองทางด้านหลัง คุณากรอยู่ในชุดที่เตรียมตัวออกไปเที่ยวนอกบ้านอีกครั้งแล้ว
"วากำลังจะไปนอนค่ะ คุณกรจะไปไหนเหรอคะ?"
"ไปเที่ยวกับแฟนฉันน่ะสิ รีบกลับไปนอนซะสิ เธอไม่ต้องไปเรียนแล้วหรือยังไง?"
"งั้นวาขอตัวก่อนนะคะ ขอให้คุณกรสนุกกับค่ำคืนนี้"
หญิงสาวลุกขึ้นจากม้านั่ง เตรียมพร้อมจะเดินกลับไปยังห้องพักที่อยู่ทางด้านหลังของบ้านหลังใหญ่ แต่ด้วยความที่ลุกขยับตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้อาการหน้ามืดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ถึงกับรีบพยุงตัวเอาไว้ในอ้อมแขน
"ขอโทษค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยวา" เธอรีบผละออกห่างจากเขาอย่างรวดเร็ว
"เป็นอะไร เดินไหวหรือเปล่า?"
"ไหวค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร แค่ปวดหัวนิดหน่อย"
"ปวดหัวก็ยังออกมานั่งตากน้ำค้างนี่นะ เธอมีสมองคิดอะไรเป็นหรือเปล่าวาสิตา"
"ค่ะ วาเป็นคนสมองน้อย เป็นคนต่ำต้อยที่ไม่มีอะไรดีเลย ขอตัวนะคะ"
คำพูดของคุณากรที่ฟังดูแสนธรรมดาแต่กลับทำให้หญิงสาวต้องร้องไห้ออกมาเสียดื้อ ๆ หญิงสาวรีบเดินผ่านหน้าเขาไป ทำเอาชายหนุ่มต้องงวยงงกับอากัปกิริยานั้นของเธอ วาสิตาโกรธเคืองเขาหรือไง เมื่อกี้พูดอะไรผิดหรือเปล่าทำไมหญิงสาวต้องร้องไห้ออกมาแบบนั้นด้วย คุณากรได้แต่ยืนจ้องมองตามแผ่นหลังบอบบางนั้นจนอีกคนหายลับตาไปไกลมากแล้ว...
หลายวันต่อมา
วาสิตาพร้อมด้วยนางมาลาเดินทางมายังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาให้กับสิ่งที่เกิดมาอย่างผิดพลาดไม่ทันให้ตั้งรับ วาสิตาจับจ้องมองผู้คนที่มีมากมาย เหมือนกับว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่มีแค่เธอที่กำลังจะมาทำเรื่องอย่างว่า
"ป้ามาจ๊ะ เขาทำแบบถูกกฎหมายเหรอ ทำไมคนเยอะแยะแบบนี้ด้วยล่ะ?"
"ฉันก็ไม่รู้ แต่เพื่อนที่ฉันรู้จักแนะนำมา เขาบอกว่าเคยพาหลานสาวมาทำที่นี่แล้วมันปลอดภัย แกไปกรอกประวัติให้มันเรียบร้อยซะ ต่อไปจะได้มีชีวิตใหม่ที่มีความสุข ไม่ต้องมานั่งคิดกับเรื่องแบบนี้อีก"
วาสิตาพยักหน้ารับเพียงน้อยนิด ก่อนที่พยาบาลจะเรียกเธอเข้าไปภายในห้องที่อยู่อีกฝั่ง ที่นี่เหมือนเปิดโลกใหม่สำหรับเธอมาก มีสถานที่แบบนี้อยู่กลางใจกรุงเทพฯ ด้วยหรือนี่ แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติสำหรับที่นี่ไปแล้ว ข้อมูลที่พยาบาลถามไถ่ก็เป็นคำถามเบสิค ประจำเดือนมาครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ มีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ แพ้ยาอะไรหรือเปล่าและเธอยังได้รู้อีกว่าลูกในครรภ์ของเธอตอนนี้อายุครรภ์ย่างเข้า 10 สัปดาห์แล้ว เสียงหัวใจเด็กที่เต้นตอนพยาบาลทำการตรวจก่อนจะทำเรื่องยุติการตั้งครรภ์ ทำให้วาสิตาถึงกับน้ำตาไหลพรากออกมาอย่างไม่รู้ตัว หัวใจอันบริสุทธิ์ ชีวิตที่ไร้เดียงสากำลังจะถูกเธอทำลายให้ตายไปต่อหน้าต่อตาอย่างนี้น่ะเหรอ
"ไม่ต้องกลัวไปนะคะ ในเมื่อเราไม่พร้อมจะมีเขา การยุติการตั้งครรภ์ไม่ใช่เรื่องที่ผิด หนูจะได้มีชีวิตใหม่ที่ไร้ซึ่งปัญหาที่จะตามมา"
เหมือนเป็นคำปลอบใจจากพยาบาล ที่อยากพูดคุยทำให้คนไข้รู้สึกสบายใจก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการพิเศษ วาสิตารู้สึกกลัวและหวั่นใจกับความเจ็บปวดที่จะตามมาหลังจากนี้
จบจากให้ข้อมูลกับพยาบาลแล้วเสร็จเธอต้องย้ายไปอีกห้องที่ดูเป็นความลับและซับซ้อน มีโค้ดพิเศษสำหรับเดินเข้าไปภายในผ่านห้องหลาย ๆ ห้องที่คับแคบ ดูสะอาดสะอ้านและเงียบวังเวง ก่อนที่พยาบาลจะหาชุดมาให้เธอได้เปลี่ยนพร้อมกับให้เธอทานยาแก้ปวดก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติการตั้งครรภ์
ระหว่างที่รอคอยเวลาที่ลุ้นระทึก ฝ่ามือของวาสิตาเย็นเฉียบจนเธอสัมผัสได้ เหงื่อที่เริ่มแตกพลั่กทำให้ความหวาดกลัววิ่งเข้าสู่หัวใจดวงน้อยอีกครั้ง
ประตูห้องถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับพยาบาลที่เรียกให้เดินตามหลัง ทุกย่างก้าวที่หญิงสาวก้าวเดินตามไป หัวใจของเธอยิ่งเต้นแรงจนไม่อาจจับจังหวะนั้นได้
วาสิตาขึ้นไปนอนบนขาหยั่งที่ตั้งอยู่กลางห้อง นายแพทย์หนุ่มหน้าตาดีพร้อมกับพยาบาลอีกคนที่อยู่ภายในนั้น ทำให้วาสิตาต้องหลับตาลงข่มความกลัวที่กำลังกัดกินหัวใจในเวลานี้ ร่างกายเริ่มสั่นสะท้านขึ้นจนคนภายนอกรับรู้ถึงความไม่ปกติ คุณหมอต้องรีบเอ่ยปากบอกด้วยความเป็นห่วง
"คุณพยาบาลตรวจดูความดันของเธอหน่อยสิ ผมว่าจะไม่โอเครเท่าไหร่นะ"
จนพยาบาลต้องรีบไปเอาเครื่องวัดชีพจรมาตรวจวัดกับต้นแขนเรียวเล็กนั้นอีกครั้ง
"ความดันขึ้นสูงมากเลยค่ะ สงสัยว่าจะตื่นเต้นและกลัวหนัก"
"ให้เธอไปพักอยู่ที่ห้องเหมือนเดิม พร้อมแล้วค่อยเข้ามาใหม่ ไปเรียกคิวต่อไปเข้ามาเลย"
"แต่หนูไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ หนูแค่ตื่นเต้นมากไปหน่อย หนูอยากทำให้มันจบสักที"
วาสิตาบอกกับคุณหมอด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ หยดน้ำใสที่ไหลออกตามหางตา ทำให้นายแพทย์ที่จ้องมองอยู่ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"ออกไปพักให้สบายใจก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามาอีกครั้ง"
เสียงทุ้มบอกออกไป ก่อนที่พยาบาลจะช่วยให้หญิงสาวยืนขึ้นบนพื้นห้อง พยุงร่างกายที่ดูสั่นสะท้านให้เดินออกจากห้องออกไปด้วยกันอีกครั้ง เพื่อจะกลับไปยังห้องเดิมที่เธอเพิ่งได้เปลี่ยนชุดออกมาเมื่อครู่
"ทำใจให้สบายก่อนนะคะ ถ้าความดันลดลงเราจะได้ลองกันใหม่อีกครั้ง"
"คุณพยาบาลคะ ถ้าหนูไม่อยากทำแล้วล่ะ หนูจะออกไปได้ไหม?"
พยาบาลจ้องมองใบหน้าที่ดูใสซื่อไร้เดียงสาด้วยความเห็นใจยิ่ง
"ก็แล้วแต่ความประสงค์ของคนไข้ค่ะ ถ้าคิดดีแล้ว ถ้ารับกับผลพวงที่จะตามมาได้ในอนาคตก็แล้วแต่จะตัดสินใจ"
"งั้นช่วยพาหนูออกไปจากตรงนี้หน่อยได้ไหมคะ หนูไม่อยากทำแล้ว หนูไม่อยากทำร้ายเขาแล้ว"
เสียงสะอื้นไห้ของวาสิตาดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อมาอยู่ในสถานที่จริงเธอกลับทำใจไม่ได้ที่จะต้องทำร้ายเด็กที่ไม่มีความผิด เธอจะเป็นแม่ที่ใจร้ายใจอำหิตแบบนั้นไปได้อย่างไรกัน