บิดาของนางฉลาดไม่น้อย เพียงแค่ฟังเรื่องที่มารดาเล่าก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว ผิดกับมารดาเป็นเวลานานกว่านางจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น
“ข้าคิดว่าใช่เจ้าค่ะ” จิ่วเม่ยเล่าเรื่องที่ไห่กวงจะลอบเข้ามาในเรือน แต่โดนผึ้งต่อยเสียก่อน จนตอนนี้ใบหน้าบางส่วนของเขายังไม่สามารถนำเหล็กในของผึ้งออกได้เลย
“ช่างกล้านัก” ซูเต๋อถึงกับคำรามออกมา ความคิดเช่นนี้คงเป็นของนางไห่ซื่ออย่างแน่นอน
หากไม่ได้สหายของบุตรสาวเขาช่วยไว้ ไม่รู้ว่านางแม่ลูกจะมีชะตาชีวิตเช่นไร
“ท่านพี่อย่าได้มีโทสะ อย่างที่ท่านเห็น หากนางไห่ซื่อมาหาเรื่องอีก ข้าคิดว่าสหายของเจินเออร์คงไม่ปล่อยนางไว้แน่” จิ่วเม่ยบีบมือสามีเพื่อให้เขาคลายโทสะ
“หากมีอีกครั้งก็ลองดู ว่าข้าจะจัดการนางเช่นไร” เขาผ่านความเป็นความตายมาไม่น้อย จิตใจของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย หากมีคนคิดจะรังแกครอบครัวของเขา เขาย่อมต้องจัดการอย่างเด็ดขาดแน่นอน
“ข้าว่าท่านลองไปดูโรงเก็บข้าวก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
ซูเต๋ออุ้มซูเจิน เดินตามจิ่วเม่ยไปโรงเก็บข้าวเปลือกที่อยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นข้าวที่เต็มโรงเก็บไปหมด เขาก็ไม่อยากเชื่อสายตา หากไม่รู้ว่าที่เป็นเช่นนี้ เพราะสหายของบุตรสาว คงได้คิดว่าจิ่วเม่ยนางหาวิธีทำให้พวกนก หนู ไม่เข้ามากินข้าวได้อย่างแน่นอน
“วันนี้ท่านพี่อยากกินอันใด ในเรือนยังมีเนื้อแห้งอยู่อีกมาก หากท่านอยากกินอย่างอื่น ข้าจะไปซื้อเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง ข้ากินอันใดก็ได้” ในสนามรบแทบจะกินดินอยู่แล้ว เขาไม่ได้เลือกกินขนาดนั้น
“ต่าย” ซูเจินเอ่ยออกมา
เพียงแค่นางพูด เสี่ยวเตี๋ยก็บินออกไปทันที จิ่วเม่ยได้แต่ส่ายหัวให้บุตรสาว ซูเต๋อยังมองตามไปอย่างไม่เข้าใจ จิ่วเม่ยไม่คิดจะบอกเขา อยากให้เขาได้เห็นกลับตาตัวเอง
แต่เพียงจิบถ้วยชา (ประมาณ 15 นาที) ผ่านไปก็มีกระต่ายตัวอวบอ้วนที่กระโดดเข้ามาในเรือนอย่างสิ้นเรี่ยวแรง
ซูเจินดิ้นลงจากตัวของซูเต๋อ ก่อนจะเดินเข้าไปหากระต่ายแล้วนั่งลูบหัวพวกมัน
“ขอบคุณพวกเจ้ามาก”
กระต่ายทั้งสองตัวค่อยๆ หลับตาลง สิ้นใจต่อหน้านาง
“นี่ นี่” ซูเต๋อชี้นิ้วที่สั่นเทาของเขาไปที่กระต่ายตรงหน้าบุตรสาว
“ข้าบอกท่านแล้ว เห็นหรือไม่ หากเจินเออร์ นางอยากกินอันใด ก็จะมาตายต่อหน้านางเช่นนี้”
“เรื่องนี้มีผู้ใดรู้หรือไม่” ซูเต๋อเอ่ยถามอย่างกังวล
“ท่านลุงหวง ท่านป้าหวง พวกเขารู้เพียงว่าเรือนข้าโชคดี ที่มีสัตว์ป่าเดินมาตาย แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่พวกเขารู้ เพียงครั้งเดียวตอนที่กวางเดินมาตาย เพราะข้าไม่อาจจัดการได้ด้วยตนเอง”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
ซูเต๋อเหมือนจะนึกเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขาในสนามรบได้ ในตอนที่เขาจวนตัว ได้มีนกกลุ่มหนึ่งบินมาล้อมรอบตัวของเขาไว้ เพื่อให้พ้นจากคมดาบ
และตลอดเวลาที่อยู่ในสนามรบครั้งที่ตัดสิ้นผลแพ้ชนะ ตัวเขาโดนปกป้องไว้ตลอด จนไม่ได้รับบาดเจ็บสักนิด
แม่ทัพจ้าวที่อยู่ไม่ห่างจากเขา เห็นความผิดปกตินี้เช่นกัน เมื่อตอนที่เขากำลังจะจวนตัว ซูเต๋อตัดสินใจพุ่งเข้าไปบังลูกธนูให้แม่ทัพจ้าว
เพราะเขาคิดว่า หากกองทัพที่ไร้แม่ทัพควบคุม พวกเขาที่เป็นเพียงพลทหารคงไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้เช่นกัน จึงได้ตัดสินใจเช่นนั้น
แต่ฝูงนกยังติดตามเขาไป ทั้งยังพุ่งเข้าจิกกัดมือธนูฝ่ายตรงข้ามที่กำลังเล็งมาทางทิศที่เขาอยู่ ทำให้ทั้งเขาและแม่ทัพจ้าวรอดชีวิตมาได้
หลังจากแคว้นต้าเยี่ยนเป็นฝ่ายชนะ แม่ทัพจ้าวได้เรียกซูเต๋อเข้าไปพบเป็นการส่วนตัวในกระโจม แล้วเอ่ยถามเขาในเรื่องที่เกิดขึ้น
“เจ้าทำได้อย่างไร”
“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ ตอนที่หลับตาเพื่อรอรับความตาย ฝูงนกก็เข้ามาช่วยข้อน้อยไว้แล้ว” ซูเต๋อก็ไม่เข้าใจในเรื่องนี้เช่นกัน
เขายังได้รับป้ายจากแม่ทัพจ้าว หากมีเรื่องที่เขาต้องการความช่วยเหลือให้นำป้ายที่เขาให้มาที่จวนแม่ทัพได้ตลอดเวลา
พอฟังเรื่องจากภรรยาแล้ว เขาจึงได้รู้ว่าคงเป็นเพราะบุตรสาวของเขา จึงได้รอดชีวิตกลับมาได้อย่างปลอดภัย คนที่เดินทางไปพร้อมเขาไม่น้อยที่ต้องจบชีวิตลงในสนามรบที่โหดร้าย
เมื่อซูเต๋อเดินเข้าไปสำรวจกระต่ายทั้งสองตัวก็พบว่าพวกมันอายุมากแล้ว
“แก่ แล้ว” ซูเจินเอ่ยบอกเขา นางอยากจะบอกว่ามันสิ้นอายุขัย แต่เพราะประโยคมันยาวเกินไป
“เจ้าหมายถึงมันใกล้ตายแล้วใช่หรือไม่” ซูเต๋อเอ่ยถามบุตรสาว
“ใช่ ใช่” นางพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้น สัตว์ที่เดินมาตายที่เรือน พวกมันใกล้ตายแล้วอย่างนั้นรึ” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เจ้าค่ะ” ซูเจินยกนิ้วโป้งให้บิดาของนาง ฉลาดนัก เช่นนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อย
ซูเต๋อถอนหายใจอย่างโล่งอก ในตอนแรกเขากลัวว่าหากเรื่องนี้ผู้อื่นรู้จะคิดว่าบุตรสาวของตนเป็นปีศาจ แต่หากเป็นเช่นนี้ก็ดี นางช่างเป็นเด็กวาสนาดีนัก
“แล้ววันนี้เจินเออร์อยากกินอันใด” จิ่วเม่ยเอ่ยถามบุตรสาวอย่างเช่นทุกครั้ง
“ย่าง” ซูเจินเลียปากน้อยๆ ของนาง เมื่อนึกถึงรสชาติของกระต่ายที่มารดาเคยย่างให้กิน
“เจ้าตัวตะกละ” จิ่วเม่ยจิ้มจมูกบุตรสาว ก่อนจะถือกระต่ายสองตัวเข้าครัวไป
“อยู่คนเดียวได้หรือไม่” ซูเต๋อจะไปช่วยจิ่วเม่ยในครัว จึงได้ถามบุตรสาว
“อืม” นางพยักหน้าให้เขาวางใจ ก่อนจะเดินไปเล่นที่ใต้ต้นไม้ที่มีแค่ไม้วางไว้อยู่ ซูเต๋ออุ้มนางขึ้นไปนั่ง แล้วเข้าไปในครัวเพื่อช่วยจิ่วเม่ยอีกแรง
จิ่วเม่ยเห็นเนื้อกระต่ายที่มีมาก แม้จะย่างไปแล้วหนึ่งตัว ต้มทำน้ำแกงอีกตัว หากพวกเขาสามคนคงกินกันไม่หมด จึงได้ให้ซูเต๋อไปชวนท่านลุงหวงและท่านป้าหวงมากินข้าวที่เรือน
เมื่อทั้งสองมาถึง จิ่วเม่ยนางก็ยกของขึ้นตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ป้าหวงที่เห็นเนื้อกระต่ายมากมายจึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“อาเม่ยเจ้าไปเอาเนื้อกระต่ายมากมายมาจากที่ใด”
“ข้าออกไปจับมาขอรับ” เป็นซูเต๋อที่เอ่ยตอบ
ชาวบ้านไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าเขามีฝีมือเรื่องจับสัตว์ป่าไม่น้อย หากมีเวลาว่าง นางไห่ซื่อไม่เคยจะคิดให้เขาได้พัก นางให้เขาเข้าป่ามาตั้งแต่เด็ก
วันใดที่ไม่สามารถหาของติดไม้ติดมือมาได้ เขาจะถูกนางลงโทษไม่น้อย
“เช่นนั้นหรือ ดีแล้ว ต่อไปเจินเออร์ของข้าคงมีเนื้อกินทุกมื้อ” ป้าหวงเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
แต่ซูเต๋อได้แต่ยิ้มแห้ง หากเขาไม่กลับมา เขาก็เชื่อว่าบุตรสาวตัวน้อยของเขานางจะต้องมีเนื้อกินทุกมื้ออย่างแน่นอน
เมื่อมีคนมาเพิ่มอีกสองปาก อาหารที่จิ่วเม่ยทำมากมายก็หมดลงจนไม่มีเหลือ ซูเจินลูบท้องของนางอย่างพอใจ กระต่ายย่างกว่าครึ่งถูกบิดาแกะวางในชามของนางอย่างใส่ใจ
นางก็ไม่ปฏิเสธกินทั้งหมดลงไปอย่างเชื่อฟัง จนผู้ใหญ่ทั้งสี่อดจะส่ายหน้าไม่ได้ ลุงหวงถือสุราติดมือมาด้วย จึงได้นั่งดื่มพร้อมทั้งเอ่ยถามเรื่องในกองทัพกับซูเต๋อ