Prologue
Prologue
Tul_Tullatorn : เพียงครับ
วันนี้รบกวนเอาเอกสารมาให้พี่ที่คณะด้วยนะครับ ขอโทษจริงๆ นะยุ่งมากเลย ไม่อย่างนั้นพี่คงไปเอากับเพียงเองแล้ว
นี่คือข้อความจากไลน์ที่กำลังแสดงอยู่บนหน้าจอของผมตอนนี้ แล้วมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมแทบจะสวมวิญญาณนักวิ่งลมกรดในแทบจะทันทีที่ก้าวเท้าลงจากรถเมล์ของมหาวิทยาลัยที่ผมนั่งมาด้วย
คณะแพทยศาสตร์
ข้อความที่ปรากฏอยู่บนป้ายชื่อของตึกคณะที่ผมกำลังยืนอยู่ตรงหน้า
Pieng : เพียงถึงแล้วนะครับพี่ตุลย์ กำลังจะเอาเข้าให้นะครับ
ส่งสติ๊กเกอร์ยิ้ม
Tul_Tullatorn : ขอบคุณมากนะครับคนเก่ง พี่รออยู่ที่หน้าร้านถ่ายเอกสารข้างในตึกนะครับ
Pieng: รับทราบครับผม
Tul_Tullatorn : แฟนใครเนี่ยน่ารักที่สุดเลย
Pieng : ส่งสติ๊กเกอร์เขิน
ทั้งๆ ที่ผมเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าไอ้ร้านถ่ายเอกสารที่พี่ตุลย์ว่านั้นมันอยู่ส่วนไหนของตึกคณะแพทยศาสตร์นี่ แต่ก็เอาเถอะครับ ยังไงซะมาจนถึงตึกคณะแพทย์ฯ แล้วกลับการแค่หาร้านถ่ายเอกสารมันคงจะไม่เกินความสามารถที่มีอันน้อยนิดของผมหรอก…มั้ง
ว่าแล้วผมก็กระชับสายสะพายกระเป๋าเป้ของตัวเองพร้อมออกแรงกอดเจ้าซองเอกสารสีน้ำตาลที่พี่ตุลย์ลืมเอาไว้ตอนที่ไปส่งผมครั้งก่อนไว้แน่น เงยหน้าทอดสายตามองไปตามทางเดินยาวก่อนจะออกแรงก้าวเท้าเดินด้วยความเร็วจนเหมือนกึ่งวิ่ง
“ขอโทษนะครับ”
ประโยคเดิมที่ผมพูดซ้ำอยู่อย่างนั้นเมื่อต้องเจอกับจำนวนประชากรของนักศึกษาแพทย์ที่ดูเหมือนจะมีจำนวนมากซะเหลือเกินในเวลาที่ผมกำลังรีบแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับการฝ่าฝูงชนจำนวนมากตามทางเดินเข้ามาแต่ถ้าหากเป็นการทำเพื่อพี่ตุลย์แล้วละก็ต่อให้มีอุปสรรค์แค่ไหนผมก็ทำได้อยู่แล้ว
จนกระทั่ง…
“อ๊ะ!”
ผมชนเข้ากับใครบางคนอย่างจัง และด้วยความที่ไม่ทันระวังบวกกับแรงกระแทกอย่างแรง สิ่งที่เกิดขึ้นคือผมเซล้มจนลงมานั่งกองอยู่กับพุ่มไม้ข้างทางแบบนี้
“โอ้ย! เจ็บชะมัดเลย” ผมบ่นกับตัวเองเสียงเบา ยกมือข้างที่รับแรงกระแทกเมื่อกี้ขึ้นมาดูก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ โชคยังดีที่ไม่เป็นแผลอะไร นึกว่าจะต้องเลือดตกยางออกซะแล้ว
“เป็นอะไรไหม” น้ำเสียงทุ้มที่ไม่คุ้นหูดังขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงนั้นก็พบเข้ากับร่างสูงของใครอีกคนที่ตอนนี้กำลังทำหน้าและส่งสายตานิ่งๆ มองมาทางผม
ดูไม่มีความเป็นมิตรเอาซะเลย…
นั้นคือสิ่งที่หัวผมกำลังคิดอยู่ในตอนนี้ และเมื่อคิดได้แบบนั้นผมที่มีอารมณ์โกรธในตอนแรกก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นหาทางทำยังไงก็ได้ที่จะไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดดีกว่า
ตัวใหญ่กว่าผมตั้งเยอะถ้ามีเรื่องกันผมคงโดนอีกคนยำจนเละแน่
“ถามทำไมไม่ตอบ” อีกคนถามย้ำด้วยน้ำเสียงที่ดังและดูดุดันขึ้นจนผมสะดุ้ง พึ่งจะสังเกตเห็นผมสีทองของอีกคนที่ตอนนี้มันช่างตอบรับกับใบหน้าดุดันนั้นจนผมต้องแอบกลัว
“ยังไม่ตอบอีก”
“ครับๆ”
“ครับอะไร” วุ้ย! ทำไมดุจังวะ จะโดนฆ่าหมกข้างทางไหมเนี่ยผม
“ก็พี่ถามผม” ผมตอบกลับเสียงเบา เบาแบบเบามากๆ อย่าว่าแต่มองหน้าเลยตอนนี้ผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตาอีกคนด้วยซ้ำ
“แล้วจะตอบได้ยังละที่ถาม”
“ตอบครับ ตอบได้แล้ว” ผมพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ไม่ได้เป็นอะไรครับ เจ็บมือนิดหน่อย”
พอพูดจบอีกคนก็ขยับเข้ามาใกล้ ผมตกใจจนต้องถอยหลังหนีแต่ลืมตัวไปว่าตัวเองตอนนี้กำลังนั่งกองอยู่กับพุ่มไม้ข้างทางอยู่นี่น่า
“อ๊ะ! อย่าครับอย่า!” ผมร้องเสียงหลงเลย จู่ๆ ไอ้พี่ผมทองมันก็ขยับเข้ามาใกล้แถมยังคว้าข้อมือผมไปจับไว้อีก
“อย่าอะไรมึง ก็แค่จะขอดูมือ” อีกคนว่า
“จะดูทำไมครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร”
“ก็ตอนแรกมึงว่าเจ็บไม่ใช่หรือไง เอามือมานี่”
อือออ พี่มันแรงเยอะชะมัดเลย ผมพยายามจะขัดขืนพยายามจะดึงข้อมือของตัวเองกลับแล้วนะแต่อีกคนก็ยิ่งออกแรงดึงมากขึ้น จากตอนแรกที่ข้อมือผมไม่ค่อยจะเจ็บเท่าไหร่ในตอนนี้จะเริ่มเจ็บขึ้นมาเพราะพี่มันนี่แหละ
คนอะไรหน้าโหดแล้วยังโหดจริงอีก
“ก็ไม่มีแผลอะไร” อีกคนว่าพลางกวาดสายตามองตามข้อมือและต้นแขนของผมข้างที่อีกคนพึ่งได้ชัยชนะจากการออกแรงขัดขืนของผมเมื่อกี้นี้
“ก็ผมบอกพี่แล้ว” ผมทำหน้ามุ่ย ดึงแขนตัวเองกลับมาก่อนที่จะยกมืออีกข้างขึ้นลูบวนไปมาตรงข้อมือของตัวเอง คนอะไรก็ไม่รู้ดุก็ดุแถมยังแรงเยอะชะมัด
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” อีกคนยืนขึ้นหลังพูดจบ ยิ่งได้มาเห็นใกล้ๆ แบบนี่แล้วไอ้พี่ผมทองนี่ดูสูงชะมัดเลย แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปสนใจอยู่แล้ว
“…”
“…”
แล้วบรรยากาศก็เข้าสู่โหมดที่น่าอึดอัดซะงั้น ก็อยู่ๆ ไอ้พี่โหดผมทองนี่ก็ยื่นมือมาทางผมเฉยเลย ผมก็รู้แหวะว่าไอ้การที่ผมกำลังนั่งกองอยู่กับพุ่งไม่ข้างทางแบบนี้แล้วอีกคนที่ยืนอยู่ส่งมือมามันหมายความว่ายังไง แต่ถึงจะเข้าใจก็เถอะ คนที่อยู่ด้วยแล้วให้ความรู้สึกไม่ปลอดภัยเอาซะเลยแบบนี้ใครจะไปยอมให้จับมือกันล่ะ
“ส่งมือมา” อีกคนพูดเสียงเข้ม
“ไม่เป็นไรครับผมลุกเองได้”
“ดื้อ”
“…” เอ้า! อะไรอ่ะโดนว่าซะงั้น
“เชี่ย!” ผมร้องอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ จังหวะที่ผมกำลังจะพยุงตัวเองให้ลุงขึ้นยืนนั้น ไอ้เจ้ากระเป๋าสะพายเจ้ากรรมของผมดันไปเกี่ยวกับกิ่งไม้เข้าตอนไหนก็ไม่รู้ ที่นี้ก็เลยกลายเป็นว่าพอผมจะลุกขึ้นยืนก็เลยเหมือนถูกแรงดึงให้กลับมานั่งกองอยู่กับพื้นเหมือนเดิม
“ซุ่มซ่ามจริง”
“อะไรเล่า ก็กระเป๋าผมมันติดนี่” ผมเถียงกลับอย่างเหลืออด คนยิ่งเจอแต่เรื่องซวยๆ อยู่ยังจะมาคอยแต่จะว่ากันอยู่ได้
ตอนนี้บรรยากาศรอบตัวเงียบลงไปอีกครั้ง อีกคนพอโดนผมเถียงกลับก็เงียบไปไม่ได้พูดอะไร ผมเห็นว่าพี่เขาดูนิ่งลงไปเลยไม่รู้ว่าจะโกรธหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่มีเวลาสนใจหรอกเพราะตอนนี้ผมต้องพุ่งความสนใจว่าส่วนไหนของกระเป๋าผมมันไปติดกับกิ่งไม้อยู่เนี่ย แกะเท่าไหร่ก็แกะไม่ออกสักที
“ติดอะไรเนี่ย” ผมบ่นอุบด้วยอาการหงุดหงิด
“ไหน มานี่”
“ผมแกะเองได้”
“อย่าดื้อ”
“…”
ผมกำลังจะเงยหน้าขึ้นเถียง แต่ภาพที่เห็นก็ทำให้ผมตกใจจนจนแทบสะดุ้ง ไอ้พี่ผมทองจอมโหดย่อตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกันกับผมแถมยังจู่โจมเข้ามาใกล้จนหน้าของเราจะติดกันอยู่แล้ว
ตึก…ตึก… ตึก…ตึก…
ทำไมอยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาเอาดื้อๆ แบบนี้ ก็ผมยังไม่เคยมองหน้าใครในระยะประชิดแบบนี้มาก่อนเลยนี่ ขนาดกับพี่ตุลย์ผมยังไม่เคยเลยนะ
“พี่จะทำอะไรอ่ะ” ผมรีบร้องห้ามพร้อมยกมืออีกข้างที่ว่างขึ้นดันหน้าอกของอีกคนที่เริ่มจะขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง
“หึ!” พี่มันส่งเสียงในลำคอ ผมเห็นด้วยนะว่าตอนนี้พี่มันกำลังทำหน้ายิ้มพอใจอยู่ด้วย
“ผมร้องให้คนช่วยจริงๆ นะ อย่า…อย่านะไอ้บ้า!” ทั้งๆ ที่ขู่ไปแล้วว่าจะร้องให้คนช่วยแต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่ได้สนใจอะไรที่ผมขู่เลยด้วยซ้ำ ที่หนักไปกว่านั้นไอ้พี่มันยังขยับเข้ามาใกล้อีก จนสุดท้ายสิ่งเดียวที่ผมเลือกทำคือการหลับตาปี๋แล้วพยายามเบี่ยงคอหลบให้ได้มาที่สุด
“ก็แค่นี้” น้ำเสียงราบเรียบของอีกคนดังขึ้นพร้อมๆ กับความรู้สึกว่าอีกคนได้ขยับตัวออกไปห่างผมแล้ว ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองก็พบว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ
เฮ้อ…
ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นึกว่าไอ้พี่บ้านั้นจะทำอะไร…เอ่อ…บ้าๆ ในที่แบบนี้ซะอีก
“ชื่อเพียงพอเหรอ”
“…”
ถึงตอนนี้ผมยิ่งตกใจหนักกว่าเก่า พี่มันรู้จักชื่อผมได้ไงวะเนี่ย พอเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้นแหละถึงบางอ้อเลยผม ภาพที่เห็นคือตอนนี้พวงกุญแจของผม พวกกุญแจที่เป็นรูปตุ๊กตาใส่ชุดนักศึกษา พวกกุญแจที่พี่ตุลย์ซื้อให้ผมตอนเข้ามหาวิทยาลัยได้ ตอนนี้พวกกุญแจนั้นกำลังอยู่ในมือของไอ้พี่ผมทองจอมดุที่ตอนนี้เป็นขี้ขโมยด้วย ไม่แปลกใจเลยว่าพี่มันรู้จักชื่อผมได้ไง ก็ในพวงกุญแจนั้นมีชื่อผมติดอยู่ด้วยนะสิ
“ชื่อมึงนี่แม่ง” คนพูดทำท่าเหมือนจะหัวเราะ
“เอาของผมคืนมาเลยนะ” เท่านั้นแหละครับผมรีบลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปจะคว้าแย่งเอาพวกกุญแจของผมกลับคืนมาให้ได้ ต้องรีบเอาคืนมาก่อนที่พี่มันจะขำกับชื่อผมไปมากกว่านี้ “เอาของผมคืนมา” ผมร้องยำประโยคเดิม มือก็พยายามจะคว้าแย่งเอาพวกกุญแจคืนมาให้ได้ แต่ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันเหลือเกินของผมกับพี่มัน สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นคือพี่มันก็ยืนเฉยๆ แล้วชูมือขึ้นสูง ส่วนผมก็กลายเป็นคนที่ทั้งเขย่ง ทั้งกระโดนแต่ก็ยังแย่งเอาพวกกุญแจของตัวเองกลับมาไม่ได้อยู่ดี
“ทำไมต้องมาแกล้งผมด้วย” ผมส่งสายตาค้อนอย่างไม่พอใจ
“เฮ้ยอะไร แค่นี้จะร้องไห้แล้วเหรอ”
“ก็พี่นั้นแหละมาแกล้งผมทำไม”
“แกล้งที่ไหนกูช่วยมึงต่างหาก”
“ช่วยผม?”
“ก็ใช่ไง”
“ช่วยผมตรงไหน”
“ก็แล้วเมื่อกี้ไอ้เด็กบื้อที่ไหนล่ะที่นั่งกองอยู่กับพุ่มไม้”
“ก็…” กำลังจะอ้าปากเถียงแต่พอนึกขึ้นได้ความอายมันก็เข้ามาแทนที่จนผมเถียงไม่ออก
“กูก็แค่ช่วยแกะพวกกุญแจของมึงที่มันเกี่ยวกับพุ่มไม้ออกให้ แบบนี้แล้วกูแกล้งมึงที่ไหน”
“ก็…ก็พี่ล้อชื่อผมอ่ะ”
“กูบอกแล้วเหรอว่ากูล้อชื่อมึง” อีกคนถามกลับ
“ก็ยังไม่ได้บอก” ถึงตอนนี้ผมตอบเสียงเบา “แต่พี่ทำเหมือนจะหัวเราะนี่”
“หัวเราะก็ไม่ได้” พี่มันเลิกคิ้วถาม
“ไม่ได้ครับ” ผมมุ่ยหน้า
“เด็กเอ้ย!”
“โอ้ย!” ผมร้องเสียงหลงพร้อมยกมือขึ้นถูวนไปมาตรงหน้าผาก “พี่ดีดหน้าผากผมทำไมเนี่ย”
“หมั่นไส้”
“…”
“ก็แค่จะบอกว่าชื่อมึงมันน่ารักดี”
“…”
“เงียบทำไม นี่กูพูดจริง”
“ไม่เห็นจะน่ารักตรงไหน”
“ถ้าหมายถึงเจ้าของชื่อน่ะก็ใช่ ที่กูบอกว่าน่ารักน่ะมันแค่ชื่ออย่างเดียวคนไม่เกี่ยว”
“นี่พี่!”
“ฮ่าๆ มึงนี่เวลาโกรธแล้วตลกดีนะ ทำหน้าขู่เหมือนแมว”
มาว่าผมเป็นแมวอีก ถ้าผมเป็นแมวนะพี่มันก็ต้องเป็นสิงโตแหละ ก็เล่นย้อมผมจนสีทองแบบนั้นนี่ แถมยังชอบทำหน้าดุๆ ใส่คนอื่นอีก เป็นสิงโตไปนั้นแหละดีแล้ว
ไอ้พี่สิงโตจอมโหดเอ้ย!
“เงียบๆ ไปแอบด่ากูในใจเปล่าเนี่ย”
อ้าว! รู้ทันซะงั้น แต่ใครจะไปยอมรับกันล่ะ
“ผม…ผมไม่ได้ด่าพี่ซะหน่อย” ผมโกหก
“อย่าให้รู้ว่าด่า” ไม่พูดเปล่าแต่อีกคนโน้มตัวเข้ามาใกล้จนผมต้องถอยหนี “โดนจับตีก้นแน่”
“…” สมแล้วที่พี่มันเป็นสิงโตจอมโหดอ่ะ ผมรีบยกมือขึ้นผลักออกของอีกคนให้ออกห่าง “ถ้าพี่ตีก้นผม ผมจะร้องให้คนช่วยจริงๆ ด้วย”
“เหอะ ใครจะมาช่วยมึง นี่คณะกูตีก้นมึงแล้วจับหมกข้างตึกก็ไม่มีใครเห็นแล้ว”
“…”
“ล้อเล่นนิดเดียวทำหน้าเป็นหมาหงอยไปได้ เอาไป ไอ้เด็กขี้ฟ้อง” ว่าจบอีกคนก็ยื่นพวกกุญแจคืนมาให้ ผมรีบคว้าเอาไว้แต่ก็ไม่ลืมที่จะส่งสายตาไม่พอใจไปให้ ดูเหมือนพี่มันจะไม่ได้สนใจสายตาของผมสักเท่าไหร่แถมยังยิ้มกวนๆ กลับมาให้ผมอีก
“ขอบคุณครับ”
“พูดให้มันจริงใจหน่อย”
“ขอบคุณครับบบบ” คราวนี้ผมลากเสียงประชด
“หึ!” อีกคนกระตุกยิ้ม
“พี่ยิ้มอะไร”
“ยิ้มให้แมว”
“…” ถึงตอนนี้ผมยิ่งต้องมุ่ยหน้าใหญ่ ทำไมผมจะไม่รู้ละว่าพี่มันหมายถึงผม แต่ผมไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับพี่มันหรอก แถมตอนนี้พี่ตุลย์ก็คงจะรอเอกสารอยู่ด้วย ทางที่ดีผมรีบไปจากตรงนี้ดีกว่า
คิดได้แบบนั้นผมรีบสำรวจสิ่งของของตัวเองว่าอยู่ครบไหมก่อนจะออกแรงกระชับกระเป๋าสะพายของตัวแน่นอีกครั้ง
“ขอบคุณมากนะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อน พอดีผมมีธุระต้องรีบไป” รีบกล่าวขอบคุณออกไปแล้วก้าวเท้าเดินออกมาจากตรงนั้นโดยไม่รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดหรือตอบอะไรกลับมาเลย
“เดี๋ยว!” แต่แล้วเสียงเรียกที่ดังข้นก็เรียกให้ผมต้องหยุดและหันกลับไปมอง
“ครับ?”
“มึงเรียนที่นี่เหรอ”
“เอ่อ เปล่าครับ”
“แล้วมาทำอะไรที่คณะกู”
“ก็…ผมเอาเอกสารมาส่งให้…”
“เข้าใจแล้ว”
“…” พูดไม่ทันจบเลยอีกคนก็แทรกขึ้นมาซะก่อน จะบอกสักหน่อยว่ามาหาแฟน ไอ้พี่สิงโตมันจะได้ไม่แกล้งผมอีกเพราะถ้าแกล้งผมจะฟ้องพี่ตุลย์แน่ๆ แต่ก็ไม่ทันได้พูด
“เอาเป็นว่ายังไงก็เดินดีๆ แล้วกัน อย่าซุ่มซ่ามไปเดินชนใครเอาอีกละ”
“…”
“ไอ้แมวดื้อ”
พูดจบอีกคนก็ทำแค่เพียงส่งยิ้มพอใจให้ผมก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป ส่วนผมที่ยืนอยู่ตรงนี้กำลังมุ่ยหน้าอย่างไม่พอใจ ใช่ครับผมไม่พอใจมากๆ พึ่งจะเคยเจอกันครั้งแรกแท้ๆ มาเรียกผมว่าแมวดื้อได้ยังไง แมวดื้อที่ไหนกันเล่า ตัวเองนั้นแหละที่เป็นสิงโตน่ะ
ไอ้สิงโตจอมโหดเอ้ย!