เสียงฟ้าร้องคำรามสะเทือนหุบเขา
สายฝนเทกระหน่ำลงมาราวกับฟ้าสะอื้นให้กับคืนที่เงียบงัน
ในเมืองเชียงใหม่ที่ผู้คนกำลังเร่งรีบกลับบ้านกัน หลังร้านรวงปิดตัวลง…
มีร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ บรรยากาศอบอุ่นยังคงเปิดไฟอยู่เพียงลำพัง
“อบเชย & นลิน”
ป้ายไม้สลักชื่อร้านแขวนไว้อย่างเรียบง่าย ข้างในอบอวลไปด้วยกลิ่นขนมปังสดใหม่และอบอุ่นจากเตาอบ
หญิงสาวร่างบางคนหนึ่งกำลังเช็ดเคาน์เตอร์อย่างเงียบงัน
ขณะที่เสียงหัวเราะเล็ก ๆ ดังมาจากเด็กชายตัวน้อยที่กำลังระบายสี ในมุมเด็ก ของร้าน
มีโต๊ะไม้เตี้ย ๆ วางกล่องสีไม้ ดินสอ และกระดาษเปล่า เด็กน้อยในวัยประมาณห้าขวบ นั่งอยู่บนเบาะกลม
ลากดินสอระบายสีลงบนภาพวาดซูเปอร์ฮีโร่ที่เขาเพิ่งจินตนาการขึ้น
เขาไม่ได้เสียงดังวุ่นวายเหมือนเด็กวัยเดียวกันทั่วไป แต่กลับนิ่ง เงียบ
และมีสายตาเฉียบคมอย่างน่าเอ็นดู ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นตอนเขาตั้งใจ
นลินแอบมองลูกจากหลังเคาน์เตอร์
ดวงตาเธอนุ่มลึก เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน
เด็กชายคนนั้น คือโลกทั้งใบของเธอ
“ปรีย์” เป็นชื่อที่เธอเลือกเอง หลังจากตัดสินใจหนีมาใช้ชีวิตที่นี่
เด็กชายขี้อายแต่ฉลาดเกินวัย เป็นคนเดียวที่ปลุกยิ้มจากริมฝีปากของเธอได้เสมอ
ในวันที่ความเศร้ารุมเร้า เขาคือเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอลุกขึ้นมาอบขนมต่อในทุกเช้า
"นลิน" แม่หม้ายสาววัย 29 ปี ผู้กวาดความสดใสและรอยยิ้มหายไปพร้อมกับการจากไปของสามีเมื่อสองปีก่อน
เธอเก็บตัวและใช้ชีวิตเงียบ ๆ เพื่อลูกชายเพียงคนเดียว
โลกของเธอถูกตัดขาดจากแสงสี...จนกระทั่งเขาเดินเข้ามา
เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้น
“ร้านนี้ยังไม่ปิดใช่ไหม?”
เสียงทุ้มต่ำ ห้าวลึก ดังขึ้นพร้อมเงาร่างสูงใหญ่ในชุดสูทดำเปียกฝน
เขายืนพิงประตูไม้บานเก่าพลางปลดกระดุมเสื้อคลุมตัวนอก หยดน้ำฝนหยดจากเรือนผมดำขลับเป็นเงา
นลินเงยหน้าขึ้น แล้วหัวใจของเธอก็เต้นผิดจังหวะ
ผู้ชายคนนี้หล่อเหลาราวภาพในฝัน
มีประกายอันตรายแผ่ซ่านจากดวงตาสีเทาคมเข้ม
เขาดูไม่ใช่คนที่ควรจะมาหลงทางเข้าร้านเบเกอรี่ในซอยเปลี่ยวนี้ โดยเฉพาะในคืนที่ฝนตกแบบนี้
สายตาของเขากวาดมองทั่วร้านเพียงครู่เดียว ก่อนจะสะดุดอยู่ที่...เธอ
นลินในวันนี้ สวมเพียงเสื้อคอกลมแขนยาวสีครีมกับกระโปรงผ้าลินินธรรมดา
ผมยาวถูกรวบไว้หลวม ๆ ด้านหลังอย่างไม่ประณีต
แต่สิ่งที่เธอไม่เคยรู้เลย คือเธอสวยในแบบที่ “ไม่ต้องพยายาม”
ผิวขาวอมชมพูที่ไม่แต่งเติม ริมฝีปากระเรื่อธรรมชาติ และแววตาเศร้าแต่เด็ดเดี่ยวของเธอ
ทั้งหมดนั้นรวมกันกลายเป็นภาพของผู้หญิงที่ ‘เคยมีใครครอบครอง’ และ ‘เคยถูกทำร้าย’
แต่น่าแปลก ความบอบบางนั้นกลับทำให้เธอดูแข็งแกร่ง และน่าทะนุถนอมในเวลาเดียวกัน
ลีอองมองเธอเหมือนภาพในความฝัน
“ขออะไรอุ่น ๆ หน่อย”
เขาเอ่ย ก่อนจะเดินตรงมานั่งที่โต๊ะโดยไม่รอฟังคำตอบ
นลินรีบจัดการเสิร์ฟโกโก้ร้อนใส่แก้วเซรามิกอย่างเรียบร้อย หัวใจยังเต้นแรงจากแรงดึงดูดที่ไม่รู้ที่มา
เขารับแก้วไปถือไว้ในมือหนา แล้วพูดโดยไม่มองหน้าเธอ
และในขณะที่เขายกแก้วโกโก้ขึ้นจิบ เขาเหลือบไปเห็นเด็กชายตัวน้อยหันมามองเขาอย่างสงสัย
ดวงตาของเด็กคู่นั้น คล้ายมีบางอย่างเฉียบคมเกินเด็กวัยเดียวกัน
“ลูกชาย?”
“ค่ะ...” นลินตอบเสียงแผ่ว พลางหันไปมองลูกชายตัวน้อยที่กำลังเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ชายแปลกหน้า
เขาหรี่ตานิดหนึ่ง ดวงตาคมกริบจับจ้องใบหน้าเธอ เขายอมรับในใจว่าเด็กคนนี้ได้แววตาแม่มาเต็ม ๆ
และในขณะที่บรรยากาศเริ่มจะอึดอัด เขาพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า…
“เธอควรปิดล็อคร้านให้เร็วกว่านี้ ซอยนี้ไม่ปลอดภัย”
“ฉันไม่เคยมีปัญหาอะไร” นลินเถียงเบา ๆ พลางเบือนหน้าหนีสายตานั้น
“แสดงว่าเธอไม่รู้ว่ากำลังอยู่ในเขตของใคร”
นลินชะงัก เงยหน้าขึ้นมองเขาเต็มตาอีกครั้ง
และนั่นเองที่เธอเห็นรอยสักบาง ๆ ตรงข้อมือข้างขวาของเขา
สัญลักษณ์นั้นคุ้นๆ เหมือนเธอเคยเห็นในข่าวใต้ดิน
ในแฟ้มคดีของอดีตสามี และในฝันร้ายของเธอ
ชายตรงหน้าที่เธอไม่เคยเจอ คือ "ลีออง เดล รอสโซ"
ชื่อที่พวกนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ระดับสูงต่างพากันหวาดกลัว
ลูกชายเพียงคนเดียวของ ลูเชียโน เดล รอสโซ มาเฟียเก่าจากอิตาลี
ผู้มีชื่ออยู่ในแฟ้มเฝ้าระวังระดับสูงขององค์กรข่าวกรองนานาชาติ
แม่ของเขาคือ วิภา อภิรดี หญิงไทยผู้เคยเป็นเจ้าของโรงแรมหรูบนดอยสุเทพในอดีต
หญิงสาวผู้ล่วงลับไปพร้อมข่าวฉาวคดีฟอกเงินเมื่อยี่สิบปีก่อน
ลีอองเกิดที่เนเปิลส์ แต่โตในฮ่องกง
และกลับมา “ฝังราก” ที่ประเทศไทยในฐานะผู้นำคนใหม่ของเครือข่ายใต้ดินระดับภูมิภาค
เขาสานต่ออำนาจของตระกูลเดล รอสโซ ผ่านการคุมกลุ่มธุรกิจสีเทาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และกำลังขยายอิทธิพลจากฮ่องกงเข้าสู่ไทยอย่างแนบเนียน
เขาไม่ได้แค่ “เป็นมาเฟีย”
เขาคือศูนย์กลางของขั้วอำนาจใหม่ ที่ไร้ศัตรู...ยกเว้นอดีต
นลินจ้องเขาอย่างตื่นตะลึงอยู่ในใจ แม้ภายนอกยังสงบ
เธอจำได้ว่าเห็นชื่อเขาในแฟ้มของสามีผู้ล่วงลับ
ในหมวดเดียวกับคำว่า "ผู้ที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว"
แต่ตอนนี้ เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ในร้านของเธอ
พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น และสายตาที่เหมือนรู้จักเธอดีเกินไป
และเธอรู้ว่าตั้งแต่วินาทีที่เขาเหยียบเข้ามา
โลกของเธอจะไม่มีวันกลับไป “เรียบง่าย” ได้อีกเลย
เขายกโกโก้ขึ้นจิบ แล้วพูดขึ้นเบา ๆ ขณะจ้องหน้าเธอด้วยแววตาอ่านใจ
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาจ้องพิจารณาฉัน…โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ยังไม่รู้จักฉันดี”
เสียงฟ้าผ่าลั่นอีกครั้ง นลินยืนนิ่งอยู่กลางร้าน
เพียงไม่นานลีอองลุกขึ้นจากโต๊ะหลังจากจิบโกโก้ร้อนหมดแก้ว
เขาเดินไปที่ประตูโดยไม่หันกลับ
ร่างสูงสง่าในชุดสูทเปียกฝน คล้ายจะละลายหายไปกับเงาสลัวนอกหน้าต่าง
แต่ก่อนที่มือเขาจะเอื้อมแตะลูกบิดประตู…
“คุณลุงครับ! ลืมเสื้อคลุมครับ!”
เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นพร้อมฝีเท้าเล็ก ๆ วิ่งตามมา
นลินสะดุ้งตกใจ เธอหันไปทันเห็น ปรีย์ หอบเสื้อคลุมเปียกน้ำ
ที่ถูกพาดทิ้งไว้บนพนักเก้าอี้ วิ่งไปทางชายแปลกหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ปรีย์! อย่าไป!”
เสียงนลินดังขึ้นอย่างร้อนรน ขณะที่รีบก้าวออกจากหลังเคาน์เตอร์
แต่ไม่ทัน...เด็กชายตัวน้อยถึงตัวลีอองแล้ว
เขาเงยหน้ามองชายร่างใหญ่ด้วยดวงตาใสซื่อ
มือเล็ก ๆ ยื่นเสื้อคลุมให้ด้วยความตั้งใจ
“คุณลุงเปียกฝน ถ้าไม่ใส่ เดี๋ยวไม่สบายครับ”
ลีอองชะงักไปชั่วอึดใจ เขาก้มมองเด็กชายตรงหน้า
หัวใจของเขาสั่นสะเทือนอย่างแปลกประหลาด
ชายที่เคยชินกับการคุกคาม ปืน และความเงียบ
กลับรู้สึกเหมือนถูกเจาะเข้าไปถึงด้านในสุดของตัวตน
โดยเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่ง ที่ไม่รู้จักคำว่า “กลัว”
เขาย่อตัวลง รับเสื้อคลุมจากมือเล็ก ๆ และสบตากับปรีย์ใกล้ ๆ เป็นครั้งแรก
ดวงตาคู่นั้นคล้ายใครบางคน คล้ายกับผู้หญิงที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์
คล้ายกับหัวใจบางส่วนของเขา ที่เคยตายไปนานแล้ว
“ขอบใจนะ...ตัวเล็ก”
เขาเอ่ยเสียงเบา ก่อนยกมือขึ้นลูบผมของปรีย์เบา ๆ อย่างอ่อนโยนจนนลินที่ยืนมองถึงกับพูดไม่ออก
นลินยืนแข็งทื่อ เธอไม่เคยให้ปรีย์เข้าใกล้คนแปลกหน้า
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ากลับไม่ใช่ภาพของอันตราย
หากเป็นภาพที่ทำให้เธอรู้สึก...กลัวอีกอย่างหนึ่งแทน
กลัวว่า...ลูกชายเธอจะเผลอผูกพันธ์กับคนที่ไม่ควร
และตัวเธอเอง...ก็อาจกำลังจะเป็นเช่นเดียวกัน
ลีอองลุกขึ้น ยิ้มมุมปากบาง ๆ ให้เด็กชาย ก่อนเปิดประตูออกจากร้าน
ทิ้งกลิ่นโคโลญอ่อน ๆ และบางอย่างที่ยังตกค้างอยู่ในหัวใจของทั้งแม่และลูก