ฉันเอาแต่นั่งนิ่งอยู่บนเบาะรถ พลันยกมือขึ้นมาจับวางที่หน้าตักด้วยท่าทางสำรวมและประหม่า ระหว่างที่พี่ทิศขับรถพาฉันไปยังที่ไหนสักแห่ง ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรมาอยู่ในรถของเขาแบบนี้ แต่ขาเจ็บขนาดนี้จะให้กลับบ้านเองก็คงลำบาก
“เรากำลังจะไปไหนกันเหรอจ๊ะ”
ฉันหันไปมองคนหน้าพวงมาลัย แล้วเอ่ยถามเสียงเบา ขณะที่เขากำลังตั้งใจขับรถ
“ไปทำแผล”
เขาตอบพร้อมกับปลายตาหันมามองเล็กน้อย
“เจ็บมากไหม”
“ไม่เลยจ้ะ นิดเดียวเอง”
ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นให้เขาสบายใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ลงเลยว่าแผลที่หัวเข่านั้นแสบมาก
“ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
เขายังคงพูดต่ออย่างรู้สึกผิด ฉันจึงรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“ไม่ใช่ความผิดพี่ทิศเลยจ้ะ ฉันไม่ระวังเอง”
“แต่ถ้าพี่ไม่ขับประกบเราแบบนี้ก็คงไม่ล้มหรอก”
“แต่ฉันไม่ได้มองว่าเป็นความผิดของพี่ทิศเลยนะจ๊ะ ปกติฉันก็ซุ่มซ่ามแบบนี้อยู่แล้ว”
ฉันอธิบายให้เขาสบายใจขึ้น แต่เขาก็ไม่ตอบอะไรกลับมา เป็นจังหวะที่เลี้ยวรถเข้าไปในเขตรั้วบ้านขนาดใหญ่ของเขาพอดี พามาที่นี่ทำไมนะ?
“พี่ทิศพาบัวมาที่นี่ทำไมจ๊ะ?”
“ทำแผลเสร็จแล้วจะไปส่ง”
ฉันเม้มริมฝีปากแน่น ไม่กล้าพูดอะไรต่อ ได้แต่มองดูบ้านหลังใหญ่ที่ฉันมักจะเฝ้ามองดูตอนขับรถผ่าน แต่ไม่เคยได้ย่างกลายเข้ามาสักที ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่ฉันเข้ามาเหยียบในบ้านของพี่ทิศ โดยที่พี่ทิศเป็นคนพาฉันเข้ามาเอง
“จะเดินเองหรือให้พี่อุ้ม”
“เดินเองจ้ะ”
ฉันรีบตอบอย่างไม่ต้องคิด พลันเปิดประตูออกไปอย่างรวดเร็วแล้วก้าวขาลงจากรถ แต่เพียงแค่ยืดขาออกไปก็รู้สึกเจ็บแปลบจนต้องเบ้หน้า
“นี่ไง เขาเรียกว่าคนดื้อเงียบ”
พี่ทิศส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะเดินอ้อมมาคว้าตัวฉันขึ้นอุ้มหน้าตาเฉย ฉันที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ตกใจเบิกตาโพลง รีบยกมือขึ้นเกราะบ่ากว้างโดยอัตโนมัติทันที
“พี่ทิศ! วางฉันลงเถอะจ้ะ ฉันเดินเองได้”
เขาไม่ตอบอะไรกลับมาอีก ซ้ำยังไม่ยอมวางฉันลงด้วย เอาแต่อุ้มฉันเดินตรงเข้ามาในบ้านปูนสองชั้นขนาดใหญ่ ที่ด้านในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์โทนสีน้ำตาล ให้ความรู้สึกอบอุ่นและหรูหราในคราเดียวกัน
“นั่งรออยู่ตรงนี้นะ”
เขาออกคำสั่งหลังจากที่วางฉันลงบนโซฟาสีน้ำตาลกลางบ้าน จากนั้นก็เดินหายเข้าไปในห้อง และเดินออกมาพร้อมกับกล่องยาสีเหลืองในมือ
“แผลถลอกแบบนี้แสบนิดหนึ่งนะ”
ฉันรีบชักขาออกโดยอัตโนมัติในขณะที่อีกฝ่ายยกก้านสำลีชุบแอลกอฮอล์ขึ้นมาจ่อใกล้ปากแผลที่หัวเข่า
“ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวฉันทำเองก็ได้”
“พี่เป็นเจ้าบ้านนะ บอกอะไรต้องเชื่อฟังสิ เอาขามา”
เขาพูดพร้อมกับคว้าเรียวขาของฉันเข้าหาตัว พอฉันจะขยับอีกก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองด้วยสายตาดุ ๆ
“ถ้าดิ้นอีกพี่จะกดสำลีใส่แผลแล้วนะ”
“...”
ใจร้ายชะมัดเลย
คราวนี้ฉันยอมอยู่นิ่งอย่างที่เขาบอก ปล่อยให้มือหนาได้บรรจงทำแผลไปอย่างที่ใจต้องการ ถึงแม้ฉันจะเจ็บจนเผลอจิกปลายเท้า แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นว่ายังไหว
“เจ็บก็บอกนะ พี่มือหนักน่ะ บางทีก็ลืมตัว”
“ขอบคุณนะจ๊ะพี่ทิศ”
ฉันกล่าวขอบคุณจากใจจริง คนอะไรไม่รู้ ทั้งหล่อ ทั้งนิสัยดี พูดจาก็เพราะ ถ้าใครได้เขาไปเป็นสามี คงโชคดีไปทั้งชาติเลย
ฉันจ้องมองอีกฝ่ายทำแผลไปเพลิน ๆ รู้ตัวอีกทีฉันก็เผลอจ้องมองใบหน้าคมของเขาอย่างไม่รู้ตัว คิ้วเข้มเป็นปื้น จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากที่กำลังเม้มเข้าหากันเล็กน้อยขณะตั้งใจทำแผลให้ฉัน หัวใจฉันก็เริ่มเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ไม่นะ! ท่องเอาไว้บัว แกกำลังจะแต่งงาน! แกไม่ควรหวั่นไหวกับเขามากไปกว่านี้อีก
ฉันรีบหันหน้าหนี พลันกำมือใส่กางเกงแน่น พยายามไม่คิดฟุ้งซ่าน พลันส่ายหน้าระรัวเพราะความคิดกำลังตบตีกันในหัวจนยุ่งเหยิงไปหมด
“เจ็บเหรอ?”
ฉันเพิ่งถูกดึงสติกลับคืนมาตอนที่พี่ทิศเงยหน้าขึ้นมาถาม เขาคงสังเกตเห็นว่าฉันกำลังทำท่าทางแปลก ๆ อยู่
“เอ่อ... นะ นิดหน่อยจ้ะ”
“ใกล้แล้ว ๆ”
เขาเร่งมือทำแผลจนเสร็จ ก่อนจะก้มลงเป่าที่หัวเข่าฉันเบา ๆ จนเย็บวูบด้วยความเย็นที่ลูบเลีย
“หายไว ๆ นะ”
ทั้งที่เพิ่งบอกตัวเองไปหยก ๆ ว่าอย่าหวั่นไหว แต่พอเห็นท่าทางที่ชวนให้ใจอ่อนระทวย ฉันก็ลืมสิ่งที่ปฏิญาณกับตนเองไปจนหมดสิ้น
“น้านาวไม่อยู่บ้านเหรอจ๊ะ”
ฉันขยับขึ้นไปช่วยเขาเก็บยาเข้ากล่อง แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะบ้านดูเงียบมาก ราวกับไม่มีใครอยู่
“แม่ไปเตรียมของทำโรงทานพรุ่งนี้น่ะ”
“อ๋ออ”
พรุ่งนี้จะมีงานประจำปีที่กลางหมู่บ้าน เรียกว่างานขอขมาศาลตายาย เป็นศาลขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ต้นโพธิ์กลางหมู่บ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่บอกไว้ว่าต้องขอขมากันทุกปี เพื่อที่ลูกหลานและคนในหมู่บ้านจะได้แคล้วคลาดปลอดภัย
“ทำเสร็จแล้ว รีบกลับบ้านไหม เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรเลยจ้ะ ฉันปั่นจักรยานไปได้ อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง”
“อวดเก่งนะเรา เพิ่งล้มมาหยก ๆ ยังไม่หายซ่าอีก รออยู่นี่นะ พี่เอากล่องยาไปไว้ในห้องก่อน”
เขาลุกขึ้นยืนแต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินกลับเข้าไปในห้องก็ต้องหยุดไปเสียดื้อ ๆ เพราะมีใครบางคนขับรถเข้ามาในเขตบ้าน ก่อนจะเดินออกมาแล้วตะโกนเรียก
“ทิศ... ทิศ”
คนร่างใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย ก่อนจะเดินออกไปที่หน้าประตูและพบกับผู้มาใหม่ที่อยู่ในชุดเดรสสีขาวสะอาดตา ผมยาวสลวย ริมฝีปากแต้มลิปสติกสีชมพูอ่อน ใบหน้าสวยหวานมีรอยยิ้มบาง ๆ ประดับ
“เอ้า ฝ้าย มาไงเนี่ย”
เจ้าของบ้านรีบเอ่ยถามด้วยความสนิทสนม ในขณะที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้และหยุดยืนอยู่ต่อหน้า
“เอาผลตรวจสารเสพติดมาให้ อะ”
มือเรียวส่งแฟ้มสีดำให้กับชายตรงหน้า ก่อนที่สายตาจะเหลือบมาเห็นฉันที่นั่งอยู่โซฟากลางบ้าน ฉันจึงรีบหลบสายตาทันที
“มีแขกอยู่เหรอ”
เธอเอ่ยถามพลางมองฉันด้วยสายตาสงสัย
“อืม น้องแถวบ้านนี่แหละ น้องเขารถล้มน่ะ เลยพามาทำแผล”
“ตายจริง แล้วเจ็บมากไหม”
ผู้มาใหม่แสดงอาการตกใจ พี่ทิศจึงรีบอธิบายต่อ
“เจ็บนิดหน่อย แผลถลอกน่ะ นี่ก็กำลังจะไปส่งน้องเขาที่บ้าน”
“ไม่เป็นไรจ้ะพี่ทิศ บัวกลับเองได้”
ฉันรีบลุกขึ้นยืนแล้วค่อย ๆ เดินออกมาอย่างระมัดระวัง แต่ยังต้องกะเผลกขา เพราะเดินตรง ๆ ยังไม่ได้
“เดินยังจะไม่ไหวเลย พี่ไปส่งดีกว่า”
“แต่ทิศต้องทำรายงานส่งก่อนสี่โมงไม่ใช่เหรอ เร่งงานก่อนไหม?”
ผู้หญิงที่ชื่อฝ้ายหันมาพูดกับพี่ทิศ ทำให้เขาลำบากใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ไปส่งแป๊บเดียวเอง”
“งั้นฝ้ายไปส่งให้ก็ได้ จะไปบ้านพ่อผู้ใหญ่ต่อน่ะ ทางผ่านไหม?”
พี่ทิศอ้ำอึ้งเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็บอกให้ฉันขึ้นรถคนชื่อฝ้าย ก่อนจะย้ายจักรยานขึ้นมาใส่ท้ายรถเก๋งสีขาวสะอาด ตอนที่เขาพยายามจะยกรถขึ้นท้ายรถเก๋ง ฉันก็ภาวนาขออย่าให้มันยัดใส่ได้ แต่มันดันใส่เข้าไปด้านในได้อย่างพอดิบพอดีราวกับจัดวาง เพียงไม่นาน ฉันจึงต้องมานั่งตัวเกร็งอยู่บนรถคันหรูที่มีกลิ่นน้ำหอมคลุ้งจนเวียนหัว
“พี่ชื่อฝ้ายนะ เราชื่อบัวใช่ไหม”
“จ้ะ”
หลังจากขับรถออกมาจากหน้าบ้านได้ไม่ไกล คนหน้าพวงมาลัยก็ชวนคุยทันที
“สนิทกับทิศหรือเปล่า?”
“ไม่จ้ะ”
ฉันตอบเสียงเบา และตอบเท่าที่จำเป็น เพราะรู้สึกประหม่าที่ถูกผู้หญิงข้างกันจ้องมองด้วยสายตาแปลก ๆ
“เสียดายจัง ว่าจะหลอกถามสักหน่อย”
เธอพูดติดตลก ในขณะที่หัวเราะออกมาเบา ๆ
“พี่ฝ้าย... เป็นแฟนพี่ทิศเหรอจ๊ะ”
หลังจากที่เงียบไปนานจนเกือบจะถึงบ้านตัวเอง ฉันก็ตัดสินใจถามในสิ่งที่กำลังคิดจนสลัดออกจากหัวไม่หลุด อีกฝ่ายไม่ได้ตกใจกับคำถามของฉันเท่าไหร่ เธอเพียงแค่หันมามองเล็กน้อยแล้วจอดรถเทียบหน้าบ้านให้ฉันลง
“ก็รอเขาขอเป็นแฟนอยู่น่ะ”
“...”
หัวใจฉันหล่นลงไปกองที่พื้นอย่างจุกหน่วง ไม่น่าถามให้เจ็บช้ำเลยบัว....
“พี่เปิดท้ายรถให้แล้วนะ ยกลงเองได้ใช่ไหม? พอดีพี่เพิ่งทำเล็บมา กลัวมันถลอก”
“อ๋อ ได้จ้ะ”
ฉันรีบผงกหัวอย่างเกรงใจ ก่อนจะเดินลงจากรถอย่างยากลำบากแล้วลงไปดึงรถของตัวเองลงอย่างระมัดระวัง ในขณะที่สมองก็เอาแต่คิดถึงประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่นี้
พวกเขาดูเหมาะสมกันดีนะ สวยหล่อกันทั้งคู่ แถมฐานะก็คงเทียบเท่ากันด้วย มองมาที่ฉันสิ ฉันไม่มีอะไรคู่ควรกับพี่ทิศเลยสักอย่าง เป็นบัวมันก็คงอยู่ได้แค่ในหนองน้ำในโคลนตมนี่แหละ จะขึ้นไปใฝ่สูงเทียบเคียงเดือนได้ยังไง...