ตอนนี้ฉันทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่นอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียงเหมือนคนโง่ มองเพดานด้วยสายตาว่างเปล่า ความเงียบรอบตัวเหมือนกดทับลงมาบนอกจนหายใจไม่ออก
ในเวลานี้…ฉันต้องการใครสักคนสักคนที่อยู่ข้าง ๆ สักคนที่กอดฉันแล้วบอกว่า “มันจะผ่านไป” แต่กลับไม่มีใครเลย…
ไม่มีแม้แต่พี่แทนไทที่ปกติจะชอบโผล่มายุ่งวุ่นวายไม่ให้ฉันได้อยู่คนเดียว แต่ตอนนี้…เขาคงไปนอนอยู่บ้านไอนุ่นแล้วล่ะ เพราะสองคนนั้นเพิ่งเปิดตัวคบกันแบบไม่ต้องหลบซ่อนอะไรอีก
ความจริงยิ่งตอกย้ำว่าฉันโคตรโดดเดี่ยว ฉันเหยียดตัวลงแนบหมอน ปล่อยให้น้ำตาซึมออกมาเงียบ ๆ ไม่มีเสียงสะอื้น ไม่มีใครได้ยิน…และไม่มีใครจะสนใจ
แต่อยู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว…ความคิดที่จะออกไปดื่มสักแก้ว ให้ความขมของเหล้ากลบเสียงในใจที่มันดังไม่หยุด
ฉันนึกถึงภาพตัวเองที่นั่งอยู่ริมทะเล ลมพัดแรง เสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งเป็นจังหวะ เหมือนมันจะพัดพาความเจ็บปวดในใจฉันไปด้วย
ฉันอยากปล่อยตัว ปล่อยทุกอย่างให้หลุดออกไปกับลมและคลื่น อยากทำเหมือนโลกนี้เหลือฉันคนเดียวที่ยังหายใจอยู่โดยไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น
“ถ้าได้ไปนั่งดื่มตรงนั้น…มันคงจะดี” ฉันพึมพำในใจ เหมือนคำพูดนั้นกลายเป็นแรงผลักดันให้ฉันลุกขึ้นจริง ๆ
แต่แล้วภาพในหัวก็ชนะเสียงลังเลของตัวเอง ในที่สุด ฉันสะบัดผ้าห่มออกจากตัว ลุกพรวดขึ้นจากเตียงเหมือนคนที่ไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว ก่อนจะเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า
มือฉันเลื่อนเปิดบานตู้แรง ๆ เหมือนจะระบายอารมณ์ พลางกวาดตามองหาชุดที่ดูแพงที่สุด ชุดที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า…อย่างน้อยฉันยังมีค่าในสายตาใครสักคน ถึงแม้ว่าข้างในจะพังยับเยินก็ตาม
“เออ…คืนนี้กูจะสวยที่สุด” ฉันพึมพำเหมือนกำลังประชดตัวเอง พร้อมดึงเดรสตัวหรูออกมาโยนลงบนเตียง ก่อนจะหยิบเครื่องสำอางตามออกมา
คืนนี้ ฉันจะไม่ยอมให้ความเศร้ากลืนกินฉันง่าย ๆ …
ฉันยืนพิจารณาตัวเองหน้ากระจก มือปัดแป้งอย่างรวดเร็ว ลากลิปสติกสีแดงสดบนริมฝีปากด้วยแรงกดหนักกว่าปกติ
เหมือนอยากจะตอกย้ำกับตัวเองว่า คืนนี้…กูต้องรอด กูต้องดูดี กูจะไม่ยอมให้ใครเห็นว่ากูพัง
เดรสสั้นรัดรูปเนื้อผ้าสีดำถูกสวมเข้ากับร่างกายที่เพิ่งสั่นสะท้านเพราะร้องไห้เมื่อครู่
สายเดี่ยวเส้นเล็กแนบกับผิวขาวที่ตัดกับสีแดงของลิปสติกอย่างชัดเจน
ฉันสวมต่างหูคู่โปรด ข้อมือมีนาฬิกาแบรนด์เนมราคาแพง เหมือนอยากประกาศให้โลกเห็นว่า ฉันยังมีค่า
กลิ่นน้ำหอมหวานปนเซ็กซี่ฟุ้งไปทั่วห้อง ขณะที่ฉันหยิบกระเป๋าหนังแบรนด์ดังขึ้นพาดไหล่
ก่อนจะหยิบกุญแจรถและเดินออกจากห้องด้วยส้นสูงที่กระทบพื้นดังก้องในความเงียบของบ้าน
กริ๊ก… เสียงประตูบ้านปิดลง พร้อมกับความตั้งใจแน่วแน่ว่าฉันจะหนีจากความเจ็บปวดคืนนี้ให้ได้
ไม่นาน รถยุโรปคันหรูของฉันก็แล่นออกจากหมู่บ้าน มุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่
แสงไฟตามทางสาดผ่านกระจกหน้ารถ สะท้อนกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความดื้อรั้นและเศร้าลึกในเวลาเดียวกัน
พัทยา…รอฉันอยู่ ฉันอยากให้เสียงคลื่นกับแสงไฟยามค่ำคืนกลืนกินความรู้สึกแย่ ๆ ทั้งหมดไป
ฉันอยากเมา อยากลืม อยากปล่อยทุกอย่างให้หายไปสักคืน
ไฟถนนเลือนลางตัดกับเสียงลมทะเลที่พัดผ่านกระจกหน้ารถ รถของฉันแล่นไปบนถนนเลียบชายหาด พัทยาในยามดึกดูเงียบสงัด
แต่แสงไฟจากร้านเหล้าและรีสอร์ตริมทะเลก็สาดส่องเป็นจุดเล็ก ๆ สลับกับความมืดของน้ำทะเล
ฉันจอดรถหน้า ร้านเหล้าเล็ก ๆ ริมทะเล ที่เคยมานั่งคนเดียวหลายครั้ง ดวงไฟสลัว สายลมเย็น
และเสียงคลื่นกระทบฝั่งทำให้ฉันรู้สึกเหมือนโลกนี้ยังปล่อยให้ฉันหายใจได้บ้าง
ฉันเปิดประตูรถ เดินด้วยส้นสูงไปยังร้าน พลางกวาดตามองไปรอบ ๆ
รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวและอึดอัดในอก แต่ก็แอบรู้สึกว่าคืนนี้…ฉันจะลืมทุกอย่างสักพัก
พอเข้ามาในร้าน เสียงเพลงเบา ๆ ผสมกลิ่นเหล้าและควันบุหรี่ลอยมากระทบจมูก
ฉันเลือกที่นั่งริมบาร์ มือยังสั่นเล็กน้อย ขณะที่สั่งเครื่องดื่มแก้วแรก
และทันใดนั้น…
“แหม…ใครมานั่งคนเดียวตรงนี้เนี่ย”
ฉันเงยหน้าขึ้น และพบ พี่เจเจ ยืนอยู่ตรงปลายบาร์ สายตาคมกริบมองมาที่ฉัน จนฉันได้แต่กรอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย
“พี่มาได้ไงเนี่ยย” ฉันเอ่ยเสียงเบา แต่แฝงความประชด
“ฉันมาก่อนเธออีก” เขาพูดพลางกวาดตามองฉันเต็มตา
“แล้วเธอล่ะ…มาได้ยังไง ไอแทนไทปล่อยให้มาได้เหรอ หรือแอบหนีมา ยัยตัวแสบ”
สายตาของเขายังคงคมเหมือนเดิม แต่แฝงความหยอกเย้าและความรู้สึกที่ไม่อาจซ่อนได้ชัดเจน ฉันกดริมฝีปากแน่น พยายามไม่ให้ใจเต้นแรงไปกว่านี้ แต่ก็ยากเหลือเกินเมื่อเขายืนอยู่ตรงหน้า
“นี่อย่าบอกนะ…ว่าแอบหนีมาคนเดียวอ่ะ” พี่เจเจมองฉันอย่างจับพิรุธ สายตาคมกริบเหมือนกำลังสืบหาความจริง
“อะไร…พี่อย่ามาพูดมั่ว ๆ นะ ฉันนัดเพื่อนไว้ เดี๋ยวก็คงมา” ฉันตอบเสียงเรียบ พร้อมเงยหน้ามองไปรอบ ๆ เหมือนกำลังมองหาใครสักคน แต่จริง ๆ ก็ไม่มีใครอยู่เลย
“ไหนละ…เพื่อน ยังไม่มาอีกหรือไง” เขาโน้มตัวเข้ามาเล็กน้อย รอยยิ้มบนหน้าคล้ายหยอกล้อ แต่แฝงความสงสัย
“พี่มาจะมาสนใจทำไมเนี่ย…ไปเลยไป” ฉันพึมพำเสียงเบา พลางชี้มือไปทางอื่น
“นู้น…ฝั่งนู้น ผู้หญิงผมยาว…ชุดสั้นสีแดง กำลังมองพี่อยู่”
พี่เจเจมองตามไปยังจุดที่ฉันชี้ แต่สายตาของเขากลับเลื่อนกลับมาที่ฉัน ราวกับกำลังบอกเป็นนัย ๆ ว่า…เขาเห็นทุกอย่างที่ฉันทำ
“ไม่ละ วันนี้พี่เปลี่ยนเป้าหมายละ” พี่เจเจพูดพร้อมยักคิ้วกวนๆ
“เป้าหมายอะไร อยากได้ผู้หญิงคนไหนละ เดี๋ยวแจมช่วยก็ได้” พร้อมมองหาผู้หญิงคนใหม่
“ผู้หญิงตรงหน้าฉัน นี่คือเป้าหมายของฉันในคืนนี้”
“ตรงหน้าพี่?” พร้อมกับชี้นิ้วใส่ตัวเอง “ตรงหน้าพี่ก็แจมอ่ะดิ”
“ไม่ได้นะ! ไม่ได้เลย…แจมไม่อยากติดโรคเพราะพี่ ไม่ได้…ไม่ได้เลย!” ฉันส่ายหัวไปมา มือเกร็งแน่น ราวกับพยายามปฏิเสธสิ่งที่เขาพูดอย่างสุดแรง
“อะไรของเธอ? นู้นน…คนนู้นน! ตรงหน้าฉันที่หมายถึงคือคนนู้น ไม่ใช่เธอ ขืนเอาเธอเป็นเมีย ไอแทนไทได้ยิงฉันตายแน่”
ฉันมองตามนิ้วที่เขาชี้…ก็เห็นผู้หญิงตัวสูง ผมยาว หน้าตาดีมากจนเหมือนดารา แต่ท่าทางแอบแรงและมั่นใจมากพอที่จะทำให้สายตาทุกคู่ในร้านเหล้าเหลือบไปมอง
ก่อนจะหันไปมองพี่เจเจด้วยสายตาหงุดหงิด
“แล้ว…ไม่พูดละ ที่หลังก็พูดให้มันจบสิ ใครจะไปรู้เนี่ย!”
ฉันพูดออกมาเสียงสูงนิด ๆ มือเกร็งเล็กน้อยเพราะหงุดหงิด ผสมกับความเขินอายที่แทบปะทุออกมา
เขามองฉันด้วยสายตาคมกริบ รอยยิ้มบนหน้ากวน ๆ แต่ก็เต็มไปด้วยความสนใจ
ความคิดฉันยุ่งเหยิงไปหมด…ทำไมเขาถึงทำให้ฉันทั้งโกรธ ทั้งเขิน ทั้งอยากสวนกลับไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองเขา
“ก็คิดว่าจะฉลาด…” พี่เจเจพูดพร้อมยักคิ้วกวน ๆ ดวงตาคมกริบจับจ้องฉันเต็มตา
ฉันเบ้หน้าแล้วรวบมือทุบเข้าไปที่หน้าอกของเขาแรง ๆ
ตุบ!
“โอ๊ยย…ตีทำไมเนี่ย!” พี่เจเจร้องเสียงหลงเพราะความเจ็บ มือยกขึ้นเกากลางอกเล็กน้อย แต่สายตายังคงเต็มไปด้วยความหยอกเย้า
“ก็พี่มาว่าแจมก่อนทำไมละ! ไปเลยไป…ไปไหนก็ไปเลย!” ฉันพูดเสียงตึง พลางถอยหลังเล็กน้อย พยายามข่มความเขินที่แผ่ร้อนขึ้นมาในอก
หัวใจฉันเต้นแรง ความโมโหผสมความเขินจนแทบหายใจไม่ออก แต่ฉันก็ยังยืนตัวตรง ดวงตาพยายามส่งสัญญาณแข็งกร้าวว่า…ฉันไม่ได้กลัวเขาหรอก