เช้าวันอาทิตย์เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของสองแม่ลูก เสียงหัวเราะของเด็กหญิงพิมพ์พิชาดังไปทั้งบริเวณ
บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่พ่อของเด็กหญิงตัวน้อยซื้อไว้ให้เธออาศัยตั้งแต่เริ่มตั้งท้อง พลอยนาราเลยไม่ต้องกังวลเรื่องที่อยู่อาศัย
แต่ที่ต้องทำงานมากขึ้นเพราะไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้า เธอและลูกยังจะได้รับการซัพพอร์ตจากเขาแบบนี้หรือเปล่า
“คุณแม่ขา เล่นกันต่อนะคะ” พิมพ์พิชาโยนลูกบอลขึ้นสูงแล้วตัวเองก็วิ่งไปรับอย่างสนุกสนาน
“น้องพราวเล่นอยู่ตรงนี้นะคะ แม่จะเข้าไปเอาน้ำมาให้” เพราะเธอกับลูกสาวเล่นกับมาเกินครึ่งชั่วโมงแล้ว เธอกลัวว่าลูกจะเหนื่อยจนหมดแรงไปเสียก่อน
เอี๊ยดดด!!!
โครม!!!
เสียงดังมาจากหน้าบ้านทำให้พลอยนาราตกใจจนแก้วน้ำในมือเกือบจะร่วง
หญิงสาววิ่งออกมาหน้าบ้าน สนามหญ้าว่างเปล่า เธอเข่าอ่อนยวบ เมื่อได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ดังมาจากถนนหน้าบ้าน
ความโกลาหลตรงหน้าทำให้คนเป็นแม่อย่างพลอยนาราทำอะไรแทบไม่ถูก
“น้องพราว เจ็บตรงไหนหรือเปล่าลูก ไม่ต้องร้องนะคะแม่มาแล้ว” หญิงสาววิ่งมาหาร่างเล็กที่ล้มอยู่บนพื้นด้วยความเป็นห่วง
“ฮือ ฮือ ฮือ แม่ขา น้องพราวกลัว” เธอร้องไห้โผเข้ากอดผู้เป็นแม่
ตอนนี้คนเริ่มออกจากบ้านมาดูเหตุการณ์เยอะขึ้นเรื่อยๆ
“เจ็บตรงไหนคะลูก” พลอยนาราลูบไปตามลำตัวลูกสาวเพื่อดูว่าเธอเจ็บตรงไหนบ้าง
“น้องพราวไม่ได้เจ็บ แต่น้องพราวตกใจ”
“คนเจ็บอยู่ทางนี้ ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลหน่อย” เสียงผู้ชายวัยกลางคนตะโกน
พลอยนาราหันไปมองตามเสียง ตอนนี้เห็นรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งจอดอยู่ริมถนน ด้านหน้ามีรถจักรยานยนต์ ล้มทับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังร้องโอดโอยเพราะความเจ็บปวด
“น้องพราว รออยู่กับยายทิพย์ก่อนนะคะ แม่ขอไปดูคนเจ็บตรงนู้นก่อน” พลอยนาราเห็นว่ายายสายทิพย์เดินออกมาพอดี
สายทิพย์หรือยายทิพย์คือคุณยายที่อยู่บ้านติดกันและเป็นคนคอยดูแลลูกสาวให้เวลาที่พลอยนาราต้องออกไปทำงาน
หญิงสาวเดินไปดูคนเจ็บที่ตอนนี้ยังคงนอนอยู่ที่พื้น ไม่มีใครกล้าเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
คนขับรถเก๋งเดินลงมาดูด้วยท่าทางตกใจไม่แพ้กัน
“ขับรถยังไงถึงได้ชนคนอื่นแบบนี้” คนเจ็บกัดฟันถาม
“ฉันก็ขับของฉันมาดีๆ แล้วเด็กที่ไหนก็ไม่รู้วิ่งตัดหน้า ถ้าฉันไม่หักหลบก็คงได้ชนกันพอดี”
“เลยมาชนฉันใช่ไหม”
“แล้วไอ้เด็กที่ว่านั่นมันอยู่ไหน เรียกพ่อแม่มันมารับผิดชอบเลย”
พลอยนาราตัวชา เพราะแถวนี้มีแต่บ้านเธอเท่านั้นที่มีเด็ก
“นั่นไง” คนขับรถเก๋งชี้ไปที่ลูกสาวของเธอที่ยืนอยู่กับยายสายทิพย์
“นั่นลูกสาวฉันเอง ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเมื่อกี้น้องพราวยังวิ่งเล่นอยู่ในบ้านเลย”
“พูดอย่างนี้จะไม่รับผิดชอบใช่ไหม ดีเลยรถฉันมีกล้องจะได้รู้กันไปว่าใครเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด”
รถพยาบาลมาพาคนเจ็บไปโรงพยาบาลพอดีกับที่ตำรวจมาสอบปากคำ
อันที่จริงแล้วพลอยนารารู้ว่าการที่เด็กวิ่งตัดหน้ารถนั้นไม่ใช่ความผิดของเด็กแต่ฝ่ายเดียว แต่เพราะไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โตเธอจึงยอมรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลคนเจ็บ ส่วนรถยนต์นั้นก็มีประกัน พลอยนาราจึงไม่ได้ร่วมรับผิดชอบ
“หนูนาราใจดีเกินไปแล้วนะลูก” สายทิพย์พูดกับหญิงสาว
“ยายทิพย์คะ นาราไม่อยากให้เรื่องใหญ่โต” เธอกลัวว่าถ้าเรื่องนี้มีคนรู้มากหรือเป็นข่าว คนที่เดือดร้อนจะเป็นเธอกับลูก
“ไม่รู้ว่าต้องจ่ายอีกเท่าไหร่ แล้วจะมีเงินพอใช้เหรอนารา เอาที่ยายก่อนไหม”
สายทิพย์มีลูกสาวและลูกชายทำงานอยู่ที่ต่างจังหวัด ทั้งสองคนส่งเงินมาให้พ่อกับแม่ใช่อย่างไม่ขาดมือ ที่สายทิพย์ช่วยดูแลลูกสาวให้กับพลอยนารานั้นก็ไม่ได้คิดค่าจ้างแพงอะไรเลย เพราะอยากช่วยเหลือสองแม่ลูกเท่านั้น
“พอค่ะยาย นารายังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง” พลอยนาราไม่อยากรบกวนสายทิพย์ไปมากกว่าที่เป็นอยู่
เธอคำนวณดูแล้วคิดว่าคงช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลกับซ่อมรถจักรยานยนต์ของคนเจ็บได้โดยที่ตัวเองไม่เดือดร้อน
แต่ทุกอย่างมันผิดแผนไปหมดเมื่อเย็นวันหนึ่งพิมพ์พิชาก็ปวดท้องอย่างหนัก พลอยนาราพาลูกสาวไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
เสียงร้องไห้ของลูกสาวทำให้พลอยนาราไม่อาจทนเห็นได้ ถ้าเลือกเจ็บได้หญิงสาวก็พร้อมที่จะแลก แต่ในเมื่อมันทำไม่ได้เธอก็ได้แต่ปลอบใจและคอยอยู่ข้างกายลูกสาวเพียงเท่านั้น
หลังจากใช้เวลาตรวจไม่นานแพทย์ประจำห้องฉุกเฉินก็แจ้งว่าพิมพ์พิชานั้นเป็นไส้ติ่งอักเสบต้องทำการผ่าตัดด่วน
“น้องมีประกันสุขภาพไหมคะคุณแม่” เจ้าหน้าที่เวชระเบียนถามขึ้นเพราะต้องกรอกข้อมูลทั้งหมดให้ครบก่อนนำตัวไปผ่าตัด
“ไม่มีค่ะ ถ้าไม่มีจะผ่าไม่ได้เหรอคะ” พลอยนาราเคยคิดที่จะทำประกันชีวิตแต่ก็ได้แค่คิด จนเวลาผ่านเรื่อยมา
“เปล่าค่ะ เราแค่ต้องการข้อมูลเท่านั้น ถ้ามีประกันทางเราจะได้เลือกห้องให้ตรงกับจำนวนวงเงินที่ทำไว้ แต่ถ้าไม่มีคุณแม่ก็เลือกเองได้เลยค่ะ ว่าจะให้น้องออกมาอยู่ห้องแบบไหนหลังผ่าตัด”
พลอยนาราเห็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วก็ถอนหายใจ เงินจำนวนนั้นมากเกินกว่าที่เธอจะหาได้เวลานี้ เงินสำรองก็เอาไปช่วยคนเจ็บแล้ว ตอนนี้เธอเหลือเงินไม่ถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ
“คุณมีปัญหาอะไรให้เราช่วยหรือเปล่าคะ ถ้าติดปัญหาตรงไหนบอกเราได้ ถ้าไม่สะดวกจะย้ายน้องไปโรงพยาบาลรัฐบาลเราก็จะส่งตัวไปให้ได้นะคะ ถ้าคุณแม่ตัดสินใจเร็วน้องก็จะได้รับการรักษาเร็วนะคะ” พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาบอก
พลอยนาราไม่รู้ว่าลูกสาวจะทนได้มากแค่ไหน
“รอสักครู่นะคะ”
หญิงสาวเลี่ยงออกมากดโทรศัพท์ไปยังปลายสายจากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า
“พาน้องไปผ่าตัดได้เลยค่ะ” พลอยนาราบอกพยาบาล
เวลารอคอยหน้าห้องผ่าตัดเป็นช่วงที่ทรมานมากสำหรับหัวอกคนเป็นแม่ เธอเดินวนไปมาหน้าห้องผ่าตัดอยู่เป็นชั่วโมง พอไฟเหนือประตูห้องผ้าตัดดับลงพลอยนาราก็มายืนรอหน้าประตู
“ลูกฉันเป็นยังไงบ้างคะหมอ”
“ปลอดภัยดีครับ ผ่าตัดเล็กแบบนี้ ไม่กี่วันน้องก็กลับมาวิ่งเล่นได้ตามปกติแล้วครับ”
“แล้วทำไมน้องพราวยังไม่ออกมาล่ะคะคุณหมอ” เธอถามอย่างสงสัย
“มันเป็นระเบียบครับหลังผ่าตัดจะต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดอย่างน้อย สองชั่วโมง ระหว่างนี้คุณแม่ไปรอที่ห้องพักก็ได้นะครับ ถ้าครบเวลาแล้วจะมีพยาบาลกับเจ้าหน้าที่จะพาน้องไปส่ง”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ”พลอยนารายกมือไหว้ศัลยแพทย์หนุ่มอีกครั้ง
ขณะที่รอให้ลูกสาวกลับมาที่ห้องพลอยนาราก็โทรศัพท์ไปบอกยายสายทิพย์ว่าเย็นนี้เธอกับลูกจะไม่กลับบ้าน เพราะปกติแล้วเย็นวันศุกร์พิมพ์พิชาจะต้องไปนอนค้างกับคุณยายเนื่องจากเธอต้องไปทำงานเสิร์ฟที่ผับแห่งหนึ่ง
“ตายแล้วลูก ยังเด็กยังเล็กต้องมาผ่าตัดแล้ว ยายสงสารจังเลย ตัวแค่นั้นคงจะเจ็บมาก”
“ยายทิพย์ไม่ต้องห่วงนะคะ หมอบอกว่าปลอดภัยดีทุกอย่าง ไม่กี่วันก็วิ่งเล่นได้อย่างเดิม”
“แล้วอยู่โรงพยาบาลไหน ยายกับตาจะได้ไปเยี่ยม” สายทิพย์หมายถึงพิทักษ์ สามีของเธอที่รักพิมพ์พิชาเหมือนหลานแท้ๆ
พลอยนาราบอกชื่อโรงพยาบาลไป ทำให้คนปลายสายตกใจอีกครั้ง เพราะโรงพยาบาลนี้ค่ารักษาพยาบาลนั้นแพงกว่าที่อื่นมาก
“มันแพงมากใช่ไหมนารา”
“ค่ะยาย แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ นาราพอมีจ่าย”
“มีจ่ายแน่นะนารา เมื่อวันก่อนก็พึ่งจ่ายไปเอง”
“มีค่ะยาย แต่หลังจากนี้อาจต้องทำงานเพิ่ม คงรบกวนให้น้องพราวไปค้างกับยายหลายคืน”
“ไม่เป็นไรเลย มานอนกับยายทุกคืนก็ได้ ยายกับตาจะได้ไม่เหงา”
“นาราขอบคุณนะคะยาย”
เมื่อครู่พลอยนาราโทรศัพท์ไปยืมเงินเจ้าของสำนักงานทนายความที่เธอทำอยู่ และคิดจะทยอยใช้เจ้านายทุกสิ้นเดือน
พลอยนาราคิดว่างานเสิร์ฟสองคืนคงหาเงินได้ไม่มาก เธอคงต้องขอเจ๊เพ็ญผู้จัดการร้าน เพื่อทำงานเป็นเด็กนั่งดริงค์ เพราะสองตำแหน่งนี้เงินค่าจ้างต่างกันอยู่มาก