ตอนที่ 2
นั่งดื่มกันได้สักพักเมื่อทั้งสองได้ยินเสียงเพลงที่คุยเคย ติณห์ภัทรก็ชวนภรรยาสาวออกไปเต้นรำด้วยกัน
“ร้านนี้เค้าเปิดเพลงโปรดของเราด้วยนะคะพี่ติณห์” สามีหนุ่มดึงร่างภรรยาเข้ามาแนบชิดจนเมญารินทร์สัมผัสได้ถึงหน้าอกแกร่งของสามีหนุ่มที่บดเบียดกับหน้าอกเต่งตูมของเธอ ระหว่างทั้งคู่เต้นรำกันก็มีสายตาของใครบางคนที่แอบจ้องมองอยู่ จากนั้นทั้งสองก็ดื่มด่ำกับบรรยากาศการอันสุดแสนโรแมนติกและเต้นรำด้วยกันโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น
“เหนื่อยรึป่าว เต้นมาหลายเพลงแล้ว” สามีหนุ่มเอ่ยถาม
“ก็นิดหน่อยค่ะ เมญ่าว่าเรารีบกลับกันมั้ยคะ ไม่อยากไปทำงานสาย”
“อืม...งั้นเต้นให้จบเพลงนี้นะ” สามีหนุ่มตอบแล้วโอบกอดร่างภรรยาสาวให้เต้นไปตามจังหวะเพลงจนจบ จากนั้นติณห์ภัทรและเมญารินทร์ก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะก่อนจะเรียกพนักงานเก็บเงินแล้วเดินทางกลับทันที คืนนี้ทั้งคู่ตั้งใจนั่งรถมาคันเดียวกัน
รุ่งเช้าทั้งคู่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกทำงานพร้อมกัน เมญารินทร์เตรียมอาหารเช้าเอาไว้ให้พ่อเลี้ยงของเธอเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เช้ามืด ทั้งสองทำงานที่เดียวกัน แต่ใช้รถกันคนละคันเพื่อปกปิดสถาณะ และเอาไว้เผื่อบางครั้งที่เมญารินทร์ต้องออกไปพบลูกค้า ทั้งสองทำงานเป็นโบรกเกอร์หรือที่เรียกกันทั่วไปอีกอย่างว่า มารเก็ตติ้งหุ้นที่บริษัทเอสแอนทีซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์และให้คำปรึกษาทางด้านการลงทุน
วันนี้หลังจากที่ทุกคนประชุมเสร็จ ญาณิศาหนึ่งในโบรเกอร์ที่เป็นหัวหน้าทีมก็ได้ถูกไล่ผู้จัดการใหญ่ไล่ออก เพราะทำงานผิดพลาดบางอย่างเธอทำงานอยู่ที่นี่ได้สามปีเต็ม แต่เมญารินทร์เดาว่าสาเหตุของการถูกไล่ออกไม่น่าจะมาจากการทำงานผิดพลาดเพียงอย่างเดียว
ไม่นานเมญารินทร์ก็ได้ ยินเสียงเพื่อนร่วมงานซุบซิบกัน ว่าคุณขจรเกียรติอาจจะเลือกครองขวัญขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีมคนใหม่แทนญาณิศาที่ถูกไล่ออกไป ซึ่งก็ทำให้ความฝันของสามีเธอนั้นแทบจะเป็นศูนย์ทันที แต่ทำไมครองขวัญถึงจะได้ตำแหน่งนี้ล่ะ ทั้งที่สามีของเธอก็ผลงานดีกว่า เมญารินทร์ครุ่นคิดในใจ
เมญารินทร์เก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน เพราะมันอาจจะไม่เป็นจริงตามข่าวลือก็ได้ ก่อนหัวหน้าขจรเกียรติจะย้ายมาประจำที่สาขานี้ เมญารินทร์ก็ได้เลื่อนเป็นหัวหน้าทีมก่อนสามีของเธอ ซึ่งหัวหน้าคนก่อนที่ย้ายไปมองเห็นผลงานของเธอ เมญารินทร์จึงอยากให้สามีที่ตอนนี้ยังเป็นลูกทีมของเธออยู่ได้เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าทีมกับเขาบ้าง
ไม่นานนักขจรเกียรติก็ส่งข้อความส่วนตัวให้เมญารินทร์เข้าไปพบ
“สวัสดีค่ะ...พี่ขจร มีอะไรจะเรียกใช้เมญ่าเหรอคะ”
“ไม่มีหรอกพี่แค่จะเรียกมาเตือนเฉย ๆ น่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“คือทุกวันนี้พี่ก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่อะนะ แต่ติณห์กับเมญ่าก็ไม่น่าไปทำประเจิดประเจ้อแบบนั้น”
“ถ้าพี่หมายถึงเรื่องเมื่อคืน..เมญ่าขอโทษค่ะ”
“คืออันที่จริงถ้าทางบริษัทรู้เค้าก็จะพิจารณาให้คนใดคนหนึ่งลาออกเลย เมญ่ารู้กฏข้อนี้ดีใช่มั้ย”
“ค่ะ เมญ่าขอบคุณพี่ขจรมากนะคะที่เข้าใจเมญา”
“งั้นก็ดีแล้ว นี่พี่เห็นแกความขยันของเมญ่าแล้วก็ติณห์นะ”
“เมญ่าจะไม่ให้มีเรื่องแบบเมื่อคืนนี้อีกแล้วค่ะ”
“งั้นพี่จะลองให้โอกาสงานนี้กับติณห์เค้าดูอีกสักครั้ง ถ้างานนี้ลูกค้ายอมเปิดพอร์ตลงทุนกับทางบริษัท พี่ก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป”
“เอ่อ พี่ขจรค่ะ อย่าหาว่าเมญ่าละลาบละล้วงเลยนะคะ สรุปครองขวัญเธอจะได้เลื่อนเป็นหัวหน้าทีมจริง ๆ เหรอคะ”
“ก็ไม่เชิงหรอก วัดกันที่ผลงานปลายปีนี้ไง ใครยอดมากกว่าคนนั้นก็ได้ไป เนี่ยพี่ก็เพิ่งให้ติณห์ออกไปพบลูกค้า แล้วรายนี้น่ะ ยอดเค้าเยอะด้วยนะ”
พักเที่ยงมารดาของติณห์ภัทรเดินทางมาหาบุตรชายถึงที่ทำงาน เธอตั้งใจเอาอาหารกลางวันมาให้ แต่ว่าไม่พบกับติณห์ภัทร์ จึงเข้ามาสอบถามกับเมญารินทร์
“พอดีพี่ติณห์ออกไปพบลูกค้าค่ะคุณแม่”
“เป็นหัวหน้าทีม ทำไมไม่ไปเองล่ะ ถึงผัวจะเป็นลูกน้องก็ไม่ควรใช้งานหนักขนาดนี้สิ” พัชรินทร์ผู้เป็นมารดาของติณห์ภัทรดุลูกสะใภ้ด้วยความไม่พอใจ
“เอ่อ คุณแม่ คือว่าช่วงนี้พี่ติณห์เค้าเร่งทำผลงานอยู่ค่ะ เผื่อว่าจะได้เลื่อนเป็นหัวหน้าทีมเร็ว ๆ นี้”
“แล้วเมื่อคืน..ทำไมเธอถึงไม่ยอมให้ตาติณห์เค้ากลับบ้าน” พัชรินทร์ต่อว่าเสียงดัง เมญารินทร์รีบหันดูไปรอบ ๆ ห้อง ดีว่าช่วงนี้พนักงานไปทานอาหารกลางวันกันหมด เธอจึงค่อยโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย ไม่งั้นต้องเป็นเรื่องแน่นอน
“คือว่าเมื่อคืนนี้เราไปฉลองกันนิดหน่อยค่ะคุณแม่”
“ฉลองอะไรกันก็ควรให้มันรู้เวล่ำเวลาบ้างสิ”
“หนูขอโทษค่ะคุณแม่” เมญารินทร์ไม่อยากเถียงคนแก่ให้เป็นเรื่องเป็นราวจึงยอมรับความผิดเอาไว้ อีกอย่างเดียวเผื่อใครมาได้ยินเข้า ก็จะมีผลไปถึงหน้าที่การงานของเธอและติณห์ภัทรได้ ซึ่งเรื่องนี้ทั้งคู่ก็เคยพูดกับพัชรินทร์ไปแล้ว