ดลวัฒน์ไม่ตอบ ส่วนลูกสะใภ้ยิ้มขมๆ กลับมา จารวีจึงชวนคุยเรื่องอื่นแทน เพราะไม่อยากให้บรรยากาศดำดิ่งไปมากกว่านี้
หลังจากกินอาหารเสร็จ ดลวัฒน์ก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงใหญ่เพียงลำพัง ส่วนสิรินดาไปนอนกับจารวีตามประสาผู้หญิงเหมือนเช่นทุกครั้ง
ชายหนุ่มนอนดูข่าวสารต่างๆ อยู่สักพักก็ได้ยินเสียงประตูห้องข้างๆ เปิดออก ชายหนุ่มเลิกคิ้วพร้อมกระเด้งตัวลุกขึ้น จากนั้นเดินไปเปิดประตูห้อง ชั่วครู่ก็ก้าวตามเป้าหมายไปแบบเงียบๆ พบว่าสิรินดาเดินออกไปดูดาวที่ระเบียง
เขาลืมไปเลยว่าเธอชอบมายืนดูดาวยามค่ำคืนเช่นนี้ คงเพราะที่กรุงเทพฯ แทบจะไม่มีโอกาสได้มองเห็นดวงดาวสุกสกาวแบบที่นี่
ชายหนุ่มไม่ได้ขยับไปแสดงตัวให้รู้ กลับยืนพิงกับกำแพงแล้วมองแผ่นหลังของภรรยาที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า สิรินดายืนมองดาวอยู่ร่วมสิบห้านาที กระทั่งหญิงสาวขยับกายอีกครั้งชายหนุ่มก็รีบไปหลบมุม แต่ก็ยังแอบเดินตามร่างระหงไปต่อ
สิรินดาอยากได้นมอุ่นๆ สักแก้ว เพราะมันคงช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น หญิงสาวหยิบนมยี่ห้อหนึ่งขึ้นมาเทลงไปในหม้อในปริมาณที่คิดว่าพอดีกับหนึ่งแก้ว จากนั้นจึงตั้งไฟกลางและรอให้นมร้อนในระดับหนึ่ง
ด้วยความเหม่อลอยทำให้นมในหม้อนั้นเดือดจัดจนเริ่มเหือดแห้ง สิรินดาตกใจรีบปิดไฟและตั้งใจจะยกมันลง แต่ก็พลาดไปจับส่วนที่ไม่ใช่ด้ามจับทำให้ต้องชักมือออกอย่างไวพร้อมร้องเสียงหลง
“โอ๊ย!”
เสียงร้องนั้นทำให้คนที่ซุ่มมองอยู่รีบเผยตัวเร็วไว
“เป็นอะไร”
หญิงสาวหันไปมองแต่ไม่ได้ตอบอะไร ขณะที่ดลวัฒน์เดินเข้ามาประชิดตัวแล้วคว้ามือนั้นไปดู
“มัวแต่เหม่ออะไร ทำไมไม่ระวัง”
ถึงจะดุ แต่ชายหนุ่มก็ไม่รอช้ารีบปฐมพยาบาลตามแบบฉบับที่ได้เรียนมา ร่างสูงดึงให้หญิงสาวมาอยู่หน้าอ่างล้างจาน แล้วทำความสะอาดด้วยน้ำ ก่อนจะหาผ้าแห้งมาซับ หลังจากนั้นก็เร่งสำรวจผิวหนัง โชคดีที่มีเพียงรอยแดงๆ ไม่ได้พุพอง
ดลวัฒน์เงยหน้ามองคนเงียบที่ป่านนี้แล้วยังไม่ยอมเอ่ยปากใดๆ
“โกรธพี่?” คงมิพ้นเรื่องที่มีปากเสียงกันวันก่อน
หญิงสาวบิดมือออกจากการจับกุมของดลวัฒน์ เธอไม่ได้โกรธ แต่เจ็บต่างหาก เจ็บที่ไม่ว่าจะคิดมุมใด คำตอบทุกอย่างก็ชัดในตัวของมันเองว่าเธอไม่มีความหมาย
ร่างระหงขยับเท้าจะไปจัดการกับสิ่งที่ทำค้างอยู่ แต่กลับถูกรั้งไว้ก่อน
“ไปนั่ง เดี๋ยวพี่จะทำให้เอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไจ๋จะทำเอง”
“ทำไมต้องอวดดี อยากได้แผลอีกหรือไงกัน” ความดื้อดึงของหญิงสาวทำให้เส้นเลือดที่ขมับของคนที่อยู่ในชุดนอนถึงกับเต้นตุบๆ
“หรือเธออยากให้พี่ดูไม่ดีในสายตาแม่” ทุกวันนี้เขาโดนมารดาติเตียนจนหูแทบจะชาแล้ว
สิรินดาเม้มปาก อารมณ์ตัดพ้อวิ่งเข้ามาทันที ทำไมดลวัฒน์ถึงคิดว่าเธออยากทำให้เขาดูไม่ดีในสายตาของคนอื่น ไม่รู้บ้างเหรอว่าที่ผ่านเธอไม่เคยพูดให้เขาดูแย่ในสายตาคนอื่นเลย เธอมีแต่ชื่นชมยกย่อง
“ไจ๋ไม่เคยคิดจะทำแบบนั้นค่ะ” สักครั้งก็ไม่มี
“งั้นก็ไปนั่ง” ดลวัฒน์สั่งอีกหน
คราวนี้หญิงสาวยอมจำนนเพื่อตัดปัญหา ด้วยไม่อยากสร้างความไม่สบายใจให้แก่จารวี
“ก็แค่นั้น” ดลวัฒน์ขยับตัวไปหยิบหม้อใบใหม่ออกมาแล้วหยิบขวดนมมาเทลงไป “แล้วทีหลังกินข้าวให้มันเยอะกว่านี้ด้วย” ทำไมจะไม่สังเกตเห็นว่าวันนี้ภรรยาตัวดีของเขาแตะข้าวไปน้อยมาก “ผอมจนจะเหลือแต่กระดูกแล้ว เธอไม่รู้ตัวหรือไง” ไม่กี่นาทีนมในหม้อก็เริ่มมีฟองเดือด ชายหนุ่มปิดไฟแล้วยกมันลงจากเตา หันไปหยิบน้ำผึ้งมาใส่ลงไปเล็กน้อย
ไม่นานนมอุ่นๆ ในแก้วสีขาวก็ถูกยื่นให้สิรินดา
“กินสิ แล้วกินให้หมดแก้วด้วยล่ะ” เขาบอกและย้ำ เด็กนี่ชอบกินแบบแมวดม ตัวถึงผอมเหมือนคนไม่มีแรง ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน แต่ทว่ากลับต้องชะงักกับคำพูดถัดมาของภรรยาสาว
“ไจ๋ขอนั่งกินคนเดียว”
“นี่เธอกล้าไล่พี่หรอ?”
“ค่ะ ไจ๋อยากนั่งคนเดียว” ตอนนี้เธออยากอยู่คนเดียว ได้ใช้เวลากับตัวเอง การอยู่ใกล้เขามันยิ่งทำให้ใจเจ็บ
ดลวัฒน์ไปต่อไม่ถูกเล็กน้อย เพราะต้องบอกว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยถูกสิรินดาไล่เลยสักครั้ง
“ตามใจเธอ” ชายหนุ่มยักไหล่แล้วก้าวเดินไป โดยไม่รู้ว่าอีกไม่นานทุกอย่างจะเริ่มเปลี่ยนไป เพราะใจดวงน้อยของสิรินดาไปต่อไม่ไหวแล้ว
ดวงตะวันในเช้าวันใหม่กลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง ดลวัฒน์ขยับเปลือกตาขึ้นมาในช่วงสายโด่ง ไม่มีใครปลุกเขาในวันหยุด เนื่องด้วยต้องการให้พักผ่อนอย่างเต็มที่
หลังจากชายหนุ่มอาบน้ำเรียบร้อยแล้วก็ออกมาในชุดลำลองสบายๆ ก่อนมองหามารดาและคนที่บึ้งตึงใส่กันมาสองวันแล้ว
“แม่เห็นเมียตัวดีของผมไหมครับ” ดลวัฒน์เอ่ยถามจารวีที่นั่งอยู่ในซุ้มไม้ริมน้ำกับเจ้าแมวจรสีดำที่ท่านรับเลี้ยงไว้
“ทำไมไม่เรียกน้องดีๆ”
“ขอโทษครับ”
“น้องน่าจะเดินเข้าสวนไปนะ เห็นว่าจะไปเก็บดอกดาหลามาไหว้พระ”
พอได้ฟัง ชายหนุ่มก็กลอกตา เพราะไม่พ้นจะเจ็บตัวเพิ่ม ชายหนุ่มกำลังจะเดินตามไป แต่ก็ต้องหยุดฟังประโยคตั้งคำถามจากปากของผู้เป็นมารดา
“ทะเลาะกับน้องหรือตาดล” จารวีเอ่ยถาม ครั้งนี้เธอเห็นชัดเจนกว่าครั้งไหน เพราะสีหน้าและแววตาของสิรินดาเหมือนคนที่หมดแรงจะก้าวเดินแล้ว
ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ
“คงแบบนั้นครับ”
“แม่จะไม่ถามว่าใครผิด แต่แม่อยากรู้ว่าดลอ่อนลงได้ไหม ดลจะเป็นฝ่ายง้อน้อง ขอโทษน้องก่อนได้ไหม”
“ทำไมผมต้องทำแบบนั้นล่ะครับ ผมไม่ใช่คนที่ชวนทะเลาะ”