บทที่ 1 คนที่ไม่สำคัญ
“ทำไมเพิ่งกลับล่ะคะ” หญิงสาวในชุดนอนสีหวานร้องถามเสียงใส พร้อมกับเดินไวๆ มาใกล้ ก่อนจะมองสำรวจตรวจตราด้วยความห่วงใย ทว่าอีกฝ่ายกลับตั้งใจขว้างมันทิ้ง
“คือพี่ต้องรายงานเธอทุกเรื่อง?” ดลวัฒน์ หรือหมอดล ตามคำเรียกของสาวๆ ในโรงพยาบาล สวนกลับทันควันด้วยสีหน้าและแววตาหงุดหงิด
“ไจ๋เป็นห่วงพี่ดล โทร.หาพี่ดลก็ไม่รับ ทักข้อความไปพี่ก็ไม่ตอบไจ๋เลย” หญิงสาวยังทำใจดีสู้เสือพยายามคลี่ปากอยากอธิบาย แม้จะรับรู้ได้แล้วว่าวันนี้อารมณ์ของสามีเหมือนจะมีพายุฝนก่อตัวขึ้น
คนฟังเหยียดยิ้ม แล้วกล่าวค่อนแคะพร้อมเลิกคิ้วสมทบ
“เธอก็เลยต้องเล่นใหญ่ โทร.หาทั้งย่าของพี่ ทั้งพ่อของเธองั้นสิ”
สิรินดาเม้มปากก่อนจะยอมรับถึงความผิด “ขอโทษค่ะ ไจ๋กลัวจะเกิดเรื่องกับพี่เหมือนครั้งก่อน ไจ๋ก็เลย...” มันไม่มีเหตุผลอะไรอื่นเลยนอกจากความเป็นห่วง
“ก็เลย…ทำในเรื่องที่พี่ไม่ชอบงั้นสิ”
เธอทำมันจริงๆ จึงพยักหน้ารับ ก่อนส่งสายตาหวังให้เขาเข้าใจกัน แต่ก็เปล่าเลย
“เว้นที่ให้พี่หายใจบ้างเถอะ ก่อนที่พี่จะอดทนไม่ไหว” เวลานี้ขีดความอดทนที่เขาต้องแบกคำว่าบุญคุญไว้เหลืออีกเพียงน้อยนิดแล้วเท่านั้น
“ไจ๋ขอโทษค่ะพี่ดล” หญิงสาวบอกไปอีกหน ก่อนก้าวเท้าหวังจะเข้าไปช่วยดลวัฒน์ที่ตอนนี้กำลังแกะกระดุมเสื้อ ทว่าคำที่สวนมาก็ทำให้สองเท้าต้องหยุดชะงักไป
“คืนนี้พี่จะนอนคนเดียว” สิรินดารู้ความหมายดี แปลได้ง่ายๆ เลยว่าเขาไม่อยากเห็นหน้าเธอ และสั่งให้เธอพาตัวเองออกจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด
“พี่ดลอยากได้แบบนั้นจริงๆ หรือคะ” เธออยากให้เขาทบทวนอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะไม่อยากแยกเตียงกับสามี แต่เพราะเขาเข้าใจจุดประสงค์ของเธอผิดไป
ครั้นได้เห็นสายตาที่ดลวัฒน์มอบให้ มันยิ่งตอกย้ำความต้องการนั้น
“อืม ถ้าเธอฉลาดพอ ก็น่าจะเข้าใจความหมายพี่ และจะเป็นกรุณามากถ้าเธอทำให้ตั้งแต่ตอนนี้”
หญิงสาวสาดยิ้มขมๆ ออกมา “ถ้าพี่ดลต้องการแบบนั้นจริงๆ ไจ๋จะทำให้ค่ะ” ในเมื่อเขาเอ่ยปากขนาดนี้แล้ว เธอจะทำอะไรได้ สิ้นคำพูดก็ขยับเท้าออกไปตามความต้องการคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี
ในเช้าวันใหม่ ดลวัฒน์นอนยังไม่ทันเต็มอิ่มดีก็ถูกปลุกตื่นขึ้นมา ก่อนจะพบกับคำถามที่ทำให้ชายหนุ่มหน้าตึง
“แกไปทำอะไรหนูไจ๋ เขาถึงหนีไปนอนบ้านพ่อ” ผู้เป็นย่าของศัลยแพทย์หนุ่มเอ่ยถาม
“หลานสะใภ้ไปฟ้องหรือครับ” ดลวัฒน์ถามพลางปรายตามองหาคนก่อเรื่อง ไม่รู้ว่าย่าของเขาไปรับเธอมาแล้วหรือยัง แต่ก็ไม่พบ
“ฟ้องไม่ฟ้องไม่สำคัญ มันอยู่ที่ว่าแกทำจริงหรือเปล่า” ธิตาส่งสายตาคาดคั้นเอาคำตอบและแสดงสีหน้าไม่พอใจชัดเจน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ดลวัฒน์สะทกสะท้าน
ชายหนุ่มแสยะยิ้มหนึ่งหนก่อนตอบออกไป
“ครับ ผมทำ” ตบท้ายด้วยการยักไหล่ บ่งบอกว่าเขานั้นไม่แคร์ใดๆ
“แกไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น แกต้องดีกับหนูไจ๋”
“ทำไมผมต้องดีกับเมียที่ไม่ได้เต็มใจได้มาด้วยล่ะครับ แล้วคุณย่าก็ไม่ควรถามนะครับว่าทำไมผมทำแบบนั้น เพราะผมว่าคุณย่ารู้ดี” คนที่เป็นตัวการให้เรื่องสับปะรังเคเกิดขึ้นก็คือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี้...คนที่มีแต่ออกคำสั่งเสมอมา
“แกอย่ามาก้าวร้าวใส่ฉันนะตาดล ฉันเป็นย่าแกนะ และแกควรสำนึกบุญคุณฉันไว้”
“ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้หรือครับที่ทำให้ผมมีสภาพนี้” สิ่งที่ชายหนุ่มพูดคือความจริงทั้งหมด ชีวิตของเขาตอนนี้เหมือนอยู่ในกรงขัง ไม่รู้ว่าจะต้องชดใช้บุญคุณไปถึงเมื่อไหร่ จนเขาต้องตายเลยหรืออย่างไร
“ตาดล” ธิตาตวาดลั่น ตัวสั่นเพราะความโกรธที่หลานชายไม่เชื่อฟัง แถมยังมาเถียงหน้าตายแบบนี้
“ผมเหนื่อย ขอพักเถอะครับ ไม่งั้นผมคงไม่มีแรงไปหาเงินเข้าโรงพยาบาลให้คุณย่าต่อ” ชายหนุ่มตัดบท รู้ดีว่าคนเป็นย่านั้นเห็นความสำคัญของเงินทองเหนือสิ่งใด ก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วปิดเปลือกตาลงทันที
เมื่อคืนนี้เขากลับมาถึงบ้านตอนเที่ยงคืน กว่าจะได้ล้มตัวนอนก็เกือบจะตีสี่แล้ว เพราะต้องอ่านแฟ้มประวัติคนไข้ที่เขาจะเข้าผ่าตัดในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ซึ่งถือว่าเป็นเคสที่ซับซ้อนที่สุดตั้งแต่เขาเป็นศัลยแพทย์มา
แม้ธิตาจะโกรธจนควันแทบออกหู แต่ก็เลือกจะถอย เพราะคำพูดหลานชายนั้นเป็นความจริง เธอควรปล่อยให้ดลวัฒน์ได้พัก เขาคงเหนื่อยจากตารางการผ่าตัดที่มีติดต่อกันหลายชั่วโมง กระนั้นก็ไม่ลืมทิ้งท้ายคำสั่งหนึ่งไว้
“ฉันไปก็ได้ แต่แกต้องไปรับหนูไจ๋ ไม่งั้น…เราได้เห็นดีกันแน่ตาดล”