ตอนที่ 1 เจอกันครั้งแรก (1)
บรรยากาศช่วงเวลาประมาณสี่โมงเย็นของทุกวันจันทร์ถึงศุกร์จะเป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างวุ่นวายสำหรับคนที่ใช้ถนนหรือต้องขับรถผ่านถนนหน้าโรงเรียนเอกชนชื่อดัง เพราะช่วงเวลานี้ของวันจะเป็นช่วงเวลาเลิกเรียนถนนเส้นนี้จะเนืองแน่นไปด้วยรถรับ-ส่งนักเรียนรวมทั้งรถผู้ปกครองที่มารอรับลูกหลานหลังเลิกเรียน
บริเวณด้านหน้าโรงเรียนเต็มไปด้วยรถยนต์มากมายหลากหลายยี่ห้อจอดรอกันอย่างเนืองแน่น ส่วนด้านในโรงเรียนก็กำลังวุ่นวายกับกองทัพนักเรียนหลายพันคนที่ทยอยเดินออกจากอาคารเรียนเดินเป็นมดแดงแตกรังมุ่งหน้าไปยังประตูรั้วหน้าโรงเรียน
เหล่านักเรียนต่างเร่งรีบเพื่อที่จะกลับบ้าน แต่ทว่ามีนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้เดินไปในทิศทางเดียวกับนักเรียนคนอื่นๆ นักเรียนหญิงคนนั้นเลือกที่จะเดินแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนที่เดินออกจากอาคารเรียนมาด้วยกัน เดินสวนทางกับนักเรียนอีกหลายคนไปยังสนามบาสเก็ตบอลกลางแจ้งที่อยู่ติดกับสนามฟุตบอลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอาคารเรียนของตัวเองมากนัก ดวงตากลมโตที่อยู่บนใบหน้ารูปไข่ที่ใครเห็นก็ต้องเผลอมองตาค้างในความสวยน่ารักหันซ้ายขวาเพื่อมองหาที่นั่ง
ถึงจะเป็นเวลาเลิกเรียนนักเรียนหลายคนทยอยกลับบ้านแต่ก็ยังมีนักเรียนบางกลุ่มที่ยังปักหลักอยู่ในโรงเรียนเพื่อเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมอื่น ทำให้ม้านั่งริมสนามถูกจับจองจนหมด เด็กสาวถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างผิดหวังก่อนที่ดวงตากลมโตจะค่อยๆขยายกว้างทอประกายดีใจเมื่อเห็นนักเรียนหญิงสาวสามคนกำลังลุกออกจากโต๊ะม้านั่งหินอ่อนที่อยู่ด้านขวามือของตัวเอง เด็กสาวยืนรอให้นักเรียนหญิงทั้งสามคนลุกออกจากที่นั่งอย่างใจเย็น เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินพ้นโต๊ะก็รีบพาตัวเองเข้าไปนั่งแทนที่ราวกับกลัวว่าคนอื่นจะมาแย่ง
เมื่อได้ที่นั่งเรียบร้อยก็ไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปจุดที่ตัวเองนั่งส่งไปให้คนที่ยังไม่เลิกเรียนเพื่อว่าอีกฝ่ายจะได้มองเห็นเธอได้ง่ายๆ ระหว่างนั่งรอก็เล่นโทรศัพท์ไปพลางๆฆ่าเวลา แน่นอนว่าเพื่อนในโซเชียลของเธอส่วนใหญ่ยังเป็นเพื่อนเก่าสมัยที่ยังเรียนอยู่เชียงใหม่ ส่วนเพื่อนใหม่ที่เพิ่งแอดเฟรนด์กันวันนี้มีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ ซึ่งเธอก็ยังไม่ได้สนิทสนมกับเพื่อนคนไหนเป็นพิเศษก็เลยยังไม่รู้ว่าจะคุยอะไรด้วยนอกจากการกดหัวใจและกดไลก์รูปให้
ตอนที่เลิกเรียนก็มีเพื่อนร่วมห้องชวนเธอเดินออกไปหน้าโรงเรียนด้วยกัน แต่เพราะเธอยังไม่รู้จักเส้นทางยังไม่สามารถกลับบ้านเองได้ก็เลยต้องบอกปฏิเสธ
‘พรนัชชา’ เกิดและโตที่กรุงเทพก็จริงแต่เธอก็ย้ายตามมารดาไปอยู่ที่เชียงใหม่ทันทีหลังจากที่บิดาเสียชีวิต เธอเองก็เคยคิดเอาไว้ว่าต้องมีช่วงเวลาที่ได้กลับมาใช้ชีวิตในกรุงเทพแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะกระทันหันย้ายมาตอนที่ตัวเองกำลังจะขึ้นมอสี่ไม่ใช่นักศึกษามหาวิทยาลัยอย่างที่เคยคิดเอาไว้ ซึ่งเธอก็ต้องปรับตัวอีกหลายอย่าง
โดยเฉพาะเรื่องการเดินทาง
ถ้าวันไหนคุณป้าเธอไม่ว่างมารับ เธอก็คงต้องนั่งรถกลับบ้านเอง
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแต่ทว่าคนที่พรนัชชารอก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเดินออกมา เมื่อเปิดดูข้อความที่ส่งไปก็เห็นว่ามันยังไม่ถูกเปิดอ่าน ใบหน้าสวยหันไปมองอาคารเรียนสีขาวด้านหลังสลับมองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างกังวล ก่อนตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปยังอาคารเรียนหลังใหญ่
เป้าหมายของพรนัชชาคือห้องเรียนของรุ่นพี่มอหกทับสาม
เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องเรียนก็รีบกวาดสายตามองหาคนที่ตัวเองนั่งรอมาครึ่งชั่วโมง เมื่อไม่เห็นก็รู้สึกใจแป๋วขึ้นทันที ถึงจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางทิ้งเธอแล้วกลับบ้านไปก่อน แต่ทว่าการที่ไม่เจออีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว
ก็อย่างที่บอกว่าเธอเพิ่งย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพ ยังไม่คุ้นกับถนนหนทางถ้าต้องกลับบ้านเองคนเดียวตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียนก็ย่อมรู้สึกกลัวเป็นธรรมดา
พรนัชชามองผู้ชายตัวสูงที่ยืนเล่นโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงทางเดินหน้าห้องอย่างลังเล มองเข้าไปในห้องเรียนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนสลับมองผู้ชายตัวสูงตรงหน้าอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้สูงเท่าไหร่ ที่รู้ๆคือเขาสูงมาก ถ้าให้เดาเขาก็น่าจะสูงกว่าเธอเกือบยี่สิบเซนติเมตร เธอไม่เห็นใบหน้าของเขาเพราะอีกฝ่ายยืนหันหน้ามองไปนอกระเบียงทว่ามองจากด้านข้างก็รู้แล้วว่าเขาน่าจะเป็นผู้ชายที่หล่อมาก นอกจากออร่าความหล่อก็คือกลิ่นอายความเย็นชาเข้าถึงยากที่ฟุ้งกระจายออกมาจากตัวของคนตรงหน้าที่ทำให้เธอลังเลไม่มั่นใจว่าควรจะถามเขาดีไหม แต่เพราะทั้งห้องไม่มีใครมีเขาคนเดียวที่ยืนอยู่หน้าห้องจึงทำให้เธอเลี่ยงไม่ได้
ถ้าเธอไม่ถามก็คงไม่ได้คำตอบ
ที่สำคัญเขาอาจจะไม่ได้หยิ่งหรือว่าน่ากลัวอย่างที่เธอสันนิษฐานก็ได้