“มีอะไรให้ช่วยมั้ย?”
“รุ่นพี่...”
พิมพ์อัปสรกับจินดาหราที่หันไปมอง พูดขึ้นพร้อมกัน ดวงตาทั้งสองคู่เปล่งประกายเจิดจรัส วิบวับเหมือนน้ำทะเลกระทบแสงแดด มองคนตรงหน้าราวกับเห็นพระมาโปรด พวกเธอรู้จักคนถามรวมทั้งเพื่อนของเขาอีกคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ด้านหลังพวงมาลัยรถ
การที่เห็นทั้งสองคนทำให้ประกายไฟแห่งความหวังลุกโชนขึ้นมาทันที
คนถามคือรุ่นพี่...ปราบปลื้ม
ส่วนคนขับรถคือรุ่นพี่...ปาลทัต
ทั้งสองคนเป็นรุ่นพี่ปีสี่จากคณะบริหารธุรกิจสาขาวิชาการเงินที่พวกเธอเรียน การปรากฏตัวของรุ่นพี่ทั้งสองทำให้พวกเธอมีความหวัง และหวังว่าประกายไฟแห่งความหวังของพวกเธอจะไม่สลายหายไปต่อหน้า
รุ่นพี่?
ปราบปลื้มยกยิ้มมุมปากด้วยความรู้สึกชนิดหนึ่ง สรุปคือใช่...สามสาวตรงหน้าเป็นรุ่นน้องในคณะจริงๆ อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เมาหรือมึนจนเบลอ ความจำเขายังดีไม่ได้เจือจางไปกับน้ำเมาที่กระหน่ำสาดลงคอตอนที่อยู่ในผับ
ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ตนยังพอมีสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง
“ทำไมมาอยู่ตรงนี้? หรือไม่มีรถกลับ?”
“อา...ค่ะ พวกเรากำลังจะกลับ แต่ถูกแท็กซี่เท” พิมพ์อัปสรเห็นมุมปากของปาลทัตกระตุก ดวงตาคมของเขาหรี่เล็กมองมาที่เธอด้วยนัยยะบางอย่าง เขาก็คงจำเธอได้ ก็เพิ่งเจอกันเมื่อไม่นานผ่านมาไม่กี่ชั่วโมง จำไม่ได้ก็ไม่รู้จะว่ายังไง
ซึ่งเธอก็ไม่พลาดที่จะส่งยิ้มสดใสแลใสซื่อและดูจริงใจที่สุด(ในความรู้สึกของเธอ)ไปให้ เพื่อให้เขาลืมเลือนเรื่องที่เธอเคยแอบ(เผลอ)มองแล้วทำเมินตอนที่บังเอิญเจอกันก่อนหน้า หวังให้เขาสงสารช่วยเหลือเธอกับเพื่อนที่กำลังลำบาก
ไม่รู้ว่าพรหมลิขิตหนุนนำหรือว่าผีผลักส่ง ห่างกันไม่ถึงสี่ชั่วโมงแต่ต้องกลับมาเจอกันอีก และการกลับมาเจอกันครั้งที่สองในรอบวันของเธอกับปาลทัตมันช่างต่างกันเหลือเกิน
เจอกันข้างทางในสถานการณ์ที่เธอ...
เหอะๆ...
ช่างน่าอับอายขายขี้หน้าสิ้นดี
สัญญาเลยว่าเธอจะไม่มีวันพูดเรื่องที่ถูกคุณพี่แท็กซี่ไล่ลงจากรถกลางทางให้ใครฟังเด็ดขาด ส่วนใครที่พูด...ได้เจอนางสาวพิมพ์อัปสรในโหมดนางมารแน่
พิมพ์อัปสรพยายามปรับสีหน้าให้ดูบ้องแบ๊วน่าเอ็นดู เลียนแบบเจ้าแมวอ้วนเม่ยเม่ยของกาญจน์สิเนห์ แต่ทว่าใบหน้านิ่งเฉยของปาลทัตทำให้เธอใจแป้ว เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเธอกับสองเพื่อนจะได้รับการช่วยเหลือจากเขา
เขาอาจจะแวะถาม แล้วก็จากไป
ไม่หรอก...มั้ง เขาเป็นรุ่นพี่ จะใจร้ายใจดำกับพวกเธอที่เป็นรุ่นน้องร่วมสาขาได้จริงๆเหรอ?
ไม่หรอก เขาคงไม่ทำ
เธอคิดว่างั้นนะ
“ถูกแท็กซี่เท? หมายถึงถูกแท็กซี่ไล่ลงจากรถ? พี่เข้าใจถูกมั้ย?”
ปราบปลื้มถามย้ำ เพราะยังไม่เคลียร์กับคำตอบที่ได้รับ มันคลุมเครือไม่กระจ่างชัด และเขาก็ไม่อยากมานั่งแปลไทยเป็นไทยในตอนที่สติยังไม่เต็มดี
มันมึนหัว...
“อา...ค่ะ เกิดเอ็กซิเดนนิดหน่อย” พิมพ์อัปสรยิ้มเจื่อน พยักหน้าขึ้นลง ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสี ความรู้สึกบางอย่างเริ่มทำงาน อดไม่ได้ที่จะเหล่ตามองคนถามสลับกับคนที่นั่งทำหน้านิ่งอยู่หลังพวงมาลัยรถ...
ปาลทัตไม่พูดทว่าสายตาคมที่กำลังมองมาทำให้พิมพ์อัปสรรู้สึกร้อนวูบวาบตามใบหน้ายิ่งกว่าเดิม และยิ่งร้อนมากขึ้นเมื่อปราบปลื้มพูดจบ
“ถึงขั้นถูกไล่ลงจากรถนี่คงไม่หน่อยมั้ง”
พิมพ์อัปสรยิ้มแห้ง ยกมือลูบแขนตัวเองด้วยความรู้สึกเก้อเขิน ก็ไม่หน่อยจริงๆ นั่นแหละ...แต่คุณพี่จะขยายซ้ำเพื่อ? หรือคิดว่าน้องร่วมสาขาคนนี้ยังอับอายขายขี้หน้าไม่พอ
“ก็มีเรื่องประมาณหนึ่ง”
“อ่อครับ...แล้วพักอยู่แถวไหนกัน”
“คอนโดรีนิวค่ะ” พิมพ์อัปสรยังเป็นคนเดียวที่ตอบคำถามของปราบปลื้ม ซึ่งเธอตอบมันด้วยความเร็วแสงเพราะรอคำถามนี้จากเขาอยู่แล้ว ทว่าคำตอบของเธอทำให้คนฟังเลิกคิ้วขึ้นสูง
“คอนโดรีนิว?”
“ใช่ค่ะ คอนโดรีนิว อยู่ตรงข้ามกับร้าน...” บอกชื่อร้านที่คิดว่าเป็นจุดเด่น
“อ่อ ครับ ถ้าเป็นคอนโดนั้นเพื่อนพี่รู้จักดีครับ มันไปทำธุระที่นั้นบ่อยๆ”
เป็นอีกครั้งที่พิมพ์อัปสรหันไปมองอีกคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่หลังพวงมาลัยรถ ลืมไปว่าปาลทัตเพิ่งไปทำธุระที่คอนโดนั้นมา
พิมพ์อัปสรมองสบตาปาลทัตเกือบสิบวินาทีก่อนที่เธอจะเป็นฝ่ายดึงสายตากลับ...สายตาของปาลทัตนิ่งลึกจนเธอคาดเดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดหรือว่ารู้สึกอะไร
ปาลทัตกลัวเธอพูด?
เรื่องที่เขาไปส่งแฟน(ผู้หญิงคนนั้น)มันเป็นความลับเหรอ?
ไม่หรอกมั้งในเมื่อเพื่อนเขาก็รู้ ปราบปลื้มอาจจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ โต้งๆ ชัดๆ ทว่ามันก็มีนัยยะแฝงอยู่ ถ้าคนไม่รู้เรื่องอาจจะไม่เก็ทไม่เข้าใจ แต่เธอรู้เธอเห็นไงถึงรู้ว่าปราบปลื้มหมายถึงอะไร
“ขึ้นรถสิเดี๋ยวพวกพี่ไปส่ง ดูๆแล้วพวกเราน่าจะหารถกลับยาก” พูดกับรุ่นน้องจบก็หันไปส่งสายตาเว้าวอนบอกเจ้าของรถประมาณว่า...
ไปส่งน้องมันหน่อยนะ สงสารน้องมัน มีแต่ผู้หญิง ยืนรอตรงนี้ก็ไม่รู้จะมีแท็กซี่รึเปล่า
คำพูดของปราบปลื้มเป็นดังเสียงระฆังที่พิมพ์อัปสรกับจินดาหราเฝ้ารอ...ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ไม่ต้องรอให้คนชวนพูดซ้ำพวกเธอก็แทบจะพุ่งตัวไปที่รถทันที ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมที่จะกล่าวคำขอบคุณด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งระคนดีใจ
“ขอบคุณรุ่นพี่มากค่ะ”
ไม่ถึงสองนาทีพวกเธอทั้งสามคนก็จรลีเข้ามานั่งในรถเรียบร้อย แม้จะเป็นไปด้วยความทุลักทุเลเพราะต้องลากกาญจน์สิเนห์ที่เริ่มโวยวายเข้ามาด้วย แต่ทว่าก็ไม่เกินความพยายามของเธอกับจินดาหรา...
ที่ปฏิญาณเอาไว้แน่วแน่ว่าจะต้องขึ้นรถคันนี้ให้ได้
พวกเธอจะต้องได้นั่งรถคันนี้กลับห้อง...แม้เจ้าของรถจะไม่เต็มใจ พวกเธอก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทำตัวให้เงียบตลอดเส้นทาง