“ปะ ไปกัน” เดย์มายืนรอเพื่อนสาวคนสวยแต่งตัว ก่อนจะไปเจอพ่อกับแม่ทั้งคู่ที่ร้านอาหารหรู เพราะส่วนมากครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมักนัดทานข้าวเพื่อถามไถ่และพูดคุยกันเป็นประจำ ทำให้ไม่ได้คิดอะไรมากในการต้องไปเจอ
ความสนิทสนมที่ทำให้ทั้งออยและเดย์เรียกครอบครัวอีกฝ่ายว่าพ่อและแม่จนถนัดปากตั้งแต่เด็ก ไม่ต่างจากครอบครัวเดียวกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จนบางทีมีคนเข้าใจว่าเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ด้วยซ้ำก็มี
เดย์นั่งที่ประจำตำแหน่งคนขับ ใบหน้าหล่อขาวเนียน แต่งแต้มด้วยสีโทนน้ำตาลอย่างเป็นธรรมชาติ ตัดกับชุดสีน้ำตาลอ่อนๆ ทว่าเข้ากันอย่างลงตัว ใบหน้าของเดย์นั้นดูดีจนมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงมองเหลียวหลังไม่แพ้กัน ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็โสดสนิทมาจนอายุยี่สิบปี ใช้ชีวิตด้วยการหาความสุขจากศิลปินที่ชอบ การใช้เงิน และเครื่องสำอาง โดยไม่สนใจเรื่องความรักเท่าที่ควร
ออยเองก็มาในธีมสีชมพูเข้ม ปกติเธอชอบแต่งตัวจัดจ้านเซ็กซี่พอสมควร ด้วยเรียวขาสวยพร้อมความสูงประมาณร้อยหกสิบแปดราวกับนางแบบ ยิ่งทำให้ทุกท่วงท่าน่ามองไม่แพ้กัน ความแตกต่างของทั้งสองคนคือออยยังมีความสนใจเรื่องความรัก เลยมีคู่เดตบ้างในบางครั้ง ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คบใครจริงจัง เคยมีครั้งหนึ่งถูกคนที่คุยบอกให้เลิกคบกับเดย์ถึงจะคบ เพราะไม่สบายใจที่ทั้งคู่สนิทกันเกินไป ทำเอาหญิงสาววีนในทันที ระหว่างเพื่อนที่คบมานานกับผู้ชายที่เพิ่งรู้จัก ยังไงเดซี่ก็ต้องชนะอยู่แล้ว นั่นยิ่งทำให้ทั้งสองคนสนิทสนมกันมากกว่าเดิม จนลืมเรื่องความรักไปโดยปริยาย
ไม่นานก็มาถึงร้านประจำ ทั้งคู่ก้าวลงจากรถสีดำคันหรูแล้วยื่นกุญแจให้หนักงานขับไปจอด ก่อนจะก้าวเดินตามบริกรสาวผู้นำทางไปห้องพิเศษที่จองไว้แล้ว
“สวัสดีค่ะ หนูว่าหนูมาเร็วแล้วนะ ทำไมมากันก่อนอีกล่ะคะ” ออยเดินไปนั่งออดอ้อนข้างพ่อของตนในทันที ทั้งที่ตั้งใจมาก่อนเวลานัดกว่าสิบห้านาที แต่ฝั่งผู้ใหญ่นั้นนั่งรออยู่ก่อนพร้อมอาหารเรียงรายเต็มโต๊ะ บ่งบอกว่าพวกท่านมาถึงก่อนแล้วสักพัก
“แม่บอกเวลาผิดเองจ้ะหนูออย” เขมิกา แม่ของเดย์กล่าวขึ้น ก่อนจะหันไปสบตากับญานินผู้เป็นแม่ของออยอย่างมีเลศนัย
“อะ มาถึงเหนื่อยๆ กินกันก่อนสิลูก” พ่อของเดย์เป็นฝ่ายชักชวน ก่อนที่บนโต๊ะอาหารจะผลัดกันตักกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารโปรดที่คุ้นเคยของทุกคน เพราะเป็นร้านประจำที่กินมาตั้งแต่เด็ก เลยแทบไม่ต้องกังวลเรื่องรสชาติ
เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างปกติจนอิ่มหนำสำราญ ตบท้ายด้วยของหวานเป็นลำไยลอยแก้วคนละถ้วย เดย์กับออยเองก็ไม่ได้สังเกตถึงสายตาแปลกๆ ของฝั่งผู้ใหญ่ที่กำลังมองมา
“เอาละ อิ่มแล้วใช่ไหม”
“อร่อยมากค่ะป๊า คิดถึงตอนออยเด็กๆ แล้วป๊าป้อนเลย~” ออยพูดพลางเอนตัวซบไหล่ผู้เป็นพ่ออย่างออดอ้อน ทำเอาญานินอมยิ้ม เพราะแบบนี้ทำให้ครอบครัวไม่ค่อยบ่นมากเวลาลูกสาวใช้เงินฟุ่มเฟือย ลูกสาวคนเดียวขี้อ้อนทั้งยังเอาใจเก่ง หลายครั้งที่ช็อปปิงก็จะมีของมาเผื่อคนในครอบครัวด้วยเสมอ ที่ผ่านมาเลยมองข้ามเรื่องความสุรุ่ยสุร่ายไป
“มีลูกสาวน่ารักๆ มาอ้อนนี่มันกระชุ่มกระชวยใจจริงๆ”
“เดย์ก็อ้อนได้นะแม่”
เมื่อเดย์พูดจบทุกคนก็หัวเราะครืน คิดภาพผู้ชายร่างสูงออดอ้อนแล้วก็อดขำออกมาไม่ได้ จนชายหนุ่มทำหน้ากระเง้ากระงอดแกล้งน้อยใจนั่นแหละ ทุกคนถึงได้หยุดแกล้ง
“เอาละ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า”
“เรื่องอะไรคะ”
“ม๊าตกลงกันแล้วนะ เพราะเทอมนี้ผลการเรียนเราแย่มาก ปิดเทอมนี้ทั้งสองบ้านเลยจะตัดเงินค่าขนมจนกว่าเกรดเทอมหน้าจะออก”
“แม่/ม๊า”
“ม๊าาา ปีสามเทอมแรกมันยากนี่นา แถมเกรดหนูก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ป๊าช่วยออยด้วย ออยไม่เอาหักค่าขนม”
“ครั้งนี้ป๊าเห็นด้วยกับม๊านะ”
“พ่อออ” เดย์หันไปหาพ่อพร้อมลากเสียงยาว
“แม่ว่าไงพ่อก็ว่างั้น” ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ไม่ต่างกันมากนัก
“ละ…แล้วม๊าจะหักเยอะไหม”
“เดือนละ 25,000 ตลอดเทอม ห้ามต่อรอง เทอมหน้าเกรดต้องดีขึ้น ส่วนบัตรเครดิตม๊าขอคืน ของเดย์ด้วยลูก”
ทั้งสองคนหน้าซีดเผือด แต่ดูจากแววตาก็รู้แล้วว่าครั้งนี้ทางบ้านเอาจริงแน่นอน สุดท้ายก็ต้องยอมทำตามที่ผู้ใหญ่เสนอมา ไม่อย่างนั้นหากต่อปากต่อคำมากไป รับรองว่าเงินรายเดือนได้ถูกหักอีกแน่นอน
บรรยากาศในรถแตกต่างจากขามาที่คุยกันอย่างออกรสออกชาติ เรียกได้ว่าหม่นหมองจนไม่มีเสียงพูดคุยกันแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นก็ประคองกันกลับมาถึงห้องโดยสวัสดิภาพ
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ ทำไมสภาพแบบนี้ล่ะ” ริตาที่นั่งดูทีวีหันมามอง สองเพื่อนซี้พยุงกันมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
เงินสองหมื่นห้าสำหรับคนอื่นไม่รวมค่าที่พักคงเหลือเฟือ แต่กับคนที่เข้าร้านอาหารครั้งหนึ่งก็หลักพัน ซื้อกระเป๋าซื้อเสื้อผ้าเป็นว่าเล่น อีกทั้งเครื่องสำอางยังต้องใช้แบรนด์หรูที่ราคาพันปลายๆ ไปจนถึงหลักหมื่น เงินเท่านี้กินข้าววันละมื้อยังมีใช้ไม่ถึงสิ้นเดือนด้วยซ้ำ
“ริตาาา แงงง ฉันกลายเป็นคุณหนูตกอับแบบแกแล้ว”
“เดี๋ยวๆๆ เกิดอะไรขึ้น”
ริตาที่เพิ่งลาออกจากงานพาร์ตไทม์ที่ไปทำได้ไม่กี่วัน ตอนแรกจะเล่าให้เพื่อนทั้งสองฟัง แต่เห็นสภาพแล้วได้แต่กลืนเรื่องราวที่เจอไว้ในใจ เพื่อมาฟังปัญหาที่ดูเหมือนจะใหญ่กว่าก่อน
เดย์เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังคร่าวๆ คนฟังทำสีหน้าบอกไม่ถูก มันอาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับคนอื่น แต่ใหญ่มากสำหรับสองคนนี้แน่ๆ
“แก แซลมอนมื้อเดียวก็พันกว่าแล้ว ให้มาสองหมื่นห้าฉันจะอยู่ยังไง” ออยพูดด้วยน้ำเสียงรวยริน เดย์เองก็พยักหน้าเห็นด้วย นี่ขนาดยังไม่รวมอาหารชาติอื่นๆ ที่ชอบกินบ่อยๆ แค่ค่ากินก็ไม่พอแล้วด้วยซ้ำ
“แล้วแม่บอกไหมว่าเกรดต้องมากกว่าเท่าไร” ริตากลายเป็นคนเดียวที่ยังปกติในตอนนี้พยายามถามหาข้อมูล เพราะเพื่อนทั้งสองเอาแต่โอดครวญงอแงจนฟังไม่ได้ศัพท์
“3.5 อะสิ ไม่งั้นจะหักไปเรื่อยๆ เลย แล้วมันจะไปถึงได้ยังไง ฮื้อออ” เดย์หันไปกอดคอร้องไห้กับออย ส่งเสียงโฮใส่กันแม้ไม่มีน้ำตาไหลจริงก็ตาม
“โอเค ฉันจะช่วยพวกแกติวเอง แต่ฉันว่าแม่ก็คงอยากเห็นลูกตั้งใจเรียนมากขึ้นเฉยๆ แหละ คงไม่ใจร้ายขนาดที่พูดไว้หรอกน่า”
“แล้วที่ผ่านมาเกรดสูงสุดฉันยังไม่แตะสามเลน นี่จะเอาสามจุดห้า บ้าไปแล้วววว”
“เออ ว่าแต่เมื่อกี้ทำหน้าเหมือนมีอะไรจะพูด เล่ามาสิ แกไปทำงานเป็นไงบ้าง” เดย์พยายามตั้งสติถามกลับ เมื่อครู่เหมือนเพื่อนทำท่าทางคล้ายอยากพูดอะไรสักอย่าง
“ก็…ก็ไม่มีอะไร ฉันแค่จะบอกว่าฉันได้งานใหม่แล้ว มีที่พักให้ด้วย เลยจะไม่รบกวนพวกแกแล้ว”
“จริงดิ งานเชื่อถือได้แน่นะ”
“เชื่อถือได้น่า”
ทั้งสามคนพูดคุยกันอีกสักพัก เดย์กับออยต่างจากริตาตรงที่ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย แถมยังไม่ได้แบ่งเงินไปลงทุนอะไรเลย กลายเป็นไม่มีเงินเก็บเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่อีกคนทะเลาะกับที่บ้านก็จริงแต่ก็ยังพอมีเงินสำรองให้พอใช้จ่ายได้พอสมควร
ถึงอย่างนั้นสถานการณ์ของทุกคนในห้องก็ไม่นับว่าแตกต่างกันมาก คล้ายว่าหลังจากนี้จะต้องพยายามด้วยตนเองต่อไป