แสงไฟนีออนจากเสาสัญญาณบนดาดฟ้าตึกสูงฝั่งตรงข้ามฉายสว่างสะท้อนกับผิวกระจกของ โรงพยาบาลสิริเวช ย่านใจกลางเมืองเชียงใหม่ บนท้องฟ้ามีแสงสว่างวาบมาเป็นระยะและเสียงฟ้าร้องดังอยู่ไกล ๆ บ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนคงจะตกลงมาไม่ต่างจากวานนี้เพราะยังอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว
บุญญานนท์ สินธนาสิริ หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบห้าปี ผู้บริหารสูงสุดในเครือโรงพยาบาลสินธนาที่มีสาขาทั้งในเชียงใหม่และกรุงเทพฯ อีกทั้งยังมี บริษัท ดี.เอ็น. เนเชอรัล โพรดักส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจาก ไร่เพียงดาว ซึ่งเป็นกิจการตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่าที่เขาจะต้องดูแล ทำให้คนเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงรู้จักชื่อเสียงของเขาเป็นอย่างดีในฐานะนักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในพื้นที่ภาคเหนือ
หลังจากนั่งเคลียร์งานอยู่จนดึกไม่ต่างจากทุกวัน เขาก็ปิดเอกสารแฟ้มสุดท้ายบนโต๊ะทำงานในห้องผู้บริหารชั้นบนสุด ก่อนหยิบเสื้อสูทขึ้นคลุมและก้าวออกไปจากห้องแล้วมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถใต้อาคารด้วยก้าวย่างที่มั่นคงเหมือนเช่นทุกครั้ง
ใบหน้าหล่อเหลาตึงเครียด แววตาเข้มดุดันภายใต้แสงไฟถนนสะท้อนความเป็นคนสุขุม เย็นชา และเด็ดขาดในทุกการตัดสินใจ
แม้จะเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว แต่เอกสารสำคัญหลายฉบับที่ต้องเซ็นทำให้เขายังไม่สามารถกลับคอนโดหรูในย่านดังของเมืองได้ตามเวลาเลิกงานปกติทำให้เขาต้องอยู่ดึกแทบทุกคืนและภาพของผู้บริหารที่กลับช้ากว่าพนักงานทั่วไปก็เป็นภาพที่ชินตาของบุคลากรในองค์กรไปแล้ว
เขาเปิดประตูรถเอสยูวีสีดำสนิทคู่ใจขึ้นมานั่งที่เบาะหลังพวงมาลัย ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยอำนาจขยับกายอย่างสง่างาม
เครื่องยนต์สตาร์ต เสียงคำรามต่ำ ๆ ก้องสะท้อนในโรงจอดรถใต้ดิน แสงไฟจากหน้าปัดกะพริบก่อนจะนิ่งสนิท ร่างสูงทอดสายตามองถนนเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอยครู่หนึ่ง
ไม่ใช่เพราะงานหนัก ไม่ใช่เพราะความเหน็ดเหนื่อย…แต่เป็นเพราะสายโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทันทีที่เขาเพิ่งขับรถออกจากโรงพยาบาลไปได้ไม่ถึงร้อยเมตรราวกับรู้ว่าเขาเพิ่งจะเลิกงาน
หน้าจอแอลอีดีบนแผงคอนโซลที่เชื่อมต่อกับระบบบลูทูธของโทรศัพท์ปรากฏชื่อ
'คุณพ่อ’
บุญญานนท์กดรับสาย น้ำเสียงทุ้มต่ำก้องไปทั่วห้องโดยสาร
(“ครับ พ่อ”)
เสียงหัวเราะอารมณ์ดีดังแทรกมาพร้อมน้ำเสียงอบอุ่นที่เขารู้จักดี
(“ไงเจ้าลูกชาย เพิ่งเลิกงานอีกล่ะสิเรา”)
(“ครับ เพิ่งเคลียร์งานเสร็จน่ะ แล้วพ่อยังไม่นอนอีกเหรอครับ ดึกแล้วนะ”)
(“รู้เหมือนกันเหรอว่าดึกแล้ว อย่ามัวแต่ทำงานจนลืมดูแลตัวเองสิลูก หกโมงเย็นก็เลิกงานไปหาความสำราญใจบ้าง อย่างพวก...นัดเดตอะไรแบบนั้นน่ะ”)
เสียงถอนหายใจของเขาดังขึ้นทันทีเมื่อได้ยินท่านพูดแบบนี้ เพราะรู้ว่าประโยคต่อไปท่านจะพูดอะไรออกมา
(“พ่อครับ...”)
(“นนท์...ลูกอายุไม่น้อยแล้วนะ ไม่คิดจะหาคนรู้ใจสักคนเหรอลูก นี่ตกลงพ่อจะได้อุ้มหลานจากนุชคนเดียวจริง ๆ หรือไง”)
(“พ่อก็ไปบอกตานัทสิครับ รายนั้นเค้าสาวเยอะ เดี๋ยวคง...”)
(“ก็เพราะรายนั้นสาวเยอะพ่อเลยไม่ห่วงไง แต่นนท์เนี่ยสิ...พ่อไม่อยากให้นนท์ใช้ชีวิตไปกับงานบนโต๊ะนะลูก พ่ออยากเห็นนนท์ได้มีคนที่ดีคอยดูแล ได้มีลูกสาวลูกชายคอยอ้อน แล้วลูกจะรู้ว่าความสุขในชีวิตคนเราจริง ๆ แล้วมันคืออะไร หนุ่มสาวสมัยนี้อาจจะไม่อยากมีครอบครัวด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเค้าไม่พร้อม แต่นนท์ล่ะลูก นนท์มีพร้อมทุกอย่างเลยนะ แล้วลูกยังรออะไรอีก หรือถ้าลูกไม่ว่างหา พ่อกับแม่ก็พอมีคนที่จะแนะนำให้ลูกรู้จักได้อยู่บ้างนะ”)
เขานิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาในที่สุด
(“พ่อไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ อันที่จริง...ผมมี...มีคนที่ผมอยากใช้ชีวิตด้วยอยู่แล้ว”)
(“จริงเหรอนนท์ นี่ลูกไม่ได้หลอกให้พ่อดีใจเล่นใช่มั้ย”)
(“เรื่องแบบนี้ผมไม่ล้อเล่นหรอกครับ เพียงแต่...ผมยังไม่ว่างพาไปเปิดตัวกับพ่อแม่เท่านั้นเอง เอาไว้...เฮ้ย!”)
ไม่ทันที่เขาจะได้พูดให้จบ เสี้ยววินาทีต่อมา ร่างผู้หญิงคนหนึ่งก็วิ่งตัดหน้ารถเขาอย่างกะทันหัน!
“เวรเอ๊ย!”
เสียงเบรกดังเอี๊ยดสนั่นลั่นถนน ล้อเหล็กเสียดสีกับยางมะตอยส่งกลิ่นไหม้คละคลุ้ง รถเอสยูวีคันใหญ่หยุดกะทันหันกลางสี่แยกไฟแดง แรงเหวี่ยงทำให้หัวใจของเขาสะดุดวูบ
หญิงสาวร่างบอบบางที่วิ่งตัดหน้าเมื่อครู่ถูกแรงปะทะจนเซล้ม ศีรษะกระแทกพื้นถนนแทบจะทันที
(“เกิดอะไรขึ้นลูก”) เสียงบิดาดังขึ้น
(“แค่นี้ก่อนนะครับพ่อ มีคนตัดหน้ารถผม ผมจะรีบลงไปดูเค้าก่อน ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันใหม่นะครับ”)
แล้วเขาก็ตัดสายก่อนจะเปิดประตูรถแล้วลงไปดูอาการของเธอทันที
แสงไฟถนนส่องให้เห็นใบหน้าหวานซีดเผือด ผมยาวสีน้ำตาลเข้มปรกแก้ม ริมฝีปากซีดสั่นไหวอย่างคนหมดสติ หัวใจของชายหนุ่มกระตุกแรงราวกับถูกบีบ
เขาทรุดตัวลงคุกเข่า รีบตรวจชีพจรที่ลำคอ ยังเต้น…
ลมหายใจยังมี แม้จะอ่อนแรงเต็มที
มือใหญ่สั่นเล็กน้อยเมื่อแตะเลือดที่ซึมออกตรงขมับ ความรู้สึกตึงเครียดแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง ถ้าเธอตาย…เขาคือฆาตกร!
ทันทีที่ตั้งสติได้ เขารีบกดโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลเสียงดังลั่น
(“เกิดอุบัติเหตุ! หญิงสาวหมดสติ ศีรษะกระแทกถนน ส่งรถพยาบาลมาด่วน! แยกหน้าห้างเมญ่า!”)
เขาไม่กล้าจะเคลื่อนย้ายผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้ด้วยตัวเอง เพราะรู้ว่าการเคลื่อนย้ายโดยพลการอาจทำให้บาดเจ็บสาหัสกว่าเดิม
หัวใจเขาเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชายหนุ่มหันมองซ้ายขวาก็เห็นว่ามีรถบางคันที่ขับชะลอก่อนจะเริ่มมีคนมามุงดูอยู่ไม่น้อย ก่อนจะหันกลับมาจับมือเย็นเฉียบของหญิงสาวไว้แน่น
“คุณ...อย่าเป็นอะไรนะ…” เขาพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว
ไม่ถึงสามนาทีเสียงไซเรนรถพยาบาลดังก้องแหวกความเงียบสงบของย่านใจกลางเมืองเชียงใหม่ในยามค่ำ รถพยาบาลพุ่งตรงมาที่สี่แยกตามการแจ้งเหตุของเขาอย่างรวดเร็วรวมถึงรถตำรวจที่เข้ามาดูแลเหตุการณ์ บุญญานนท์ยืนให้การกับตำรวจที่เข้ามาสอบถามข้อมูลเบื้องต้น ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยความกังวล ขอบตาร้อนผ่าวราวกับเขาเป็นคนบาดเจ็บเสียเอง
หญิงสาวยังคงนอนนิ่งอยู่ตรงพื้นถนน ใบหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อและละอองฝนที่เพิ่งเริ่มโปรยปรายลงมา เสี้ยววินาทีนั้น เขารู้สึกเหมือนเวลาหยุดหมุน ความคิดทุกอย่างพร่าเลือน มีเพียงเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นแรงไม่หยุด
“คนเจ็บอยู่ตรงนี้ครับ!” เขาตะโกนเรียกทันทีที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยและบุรุษพยาบาลวิ่งลงมาจากรถ
ทีมแพทย์รีบเข้ามาล้อมรอบ ตรวจชีพจรและใส่ออกซิเจนอย่างรวดเร็ว ขณะที่บุญญานนท์ก้าวถอยหลังหลบไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แต่สายตายังไม่ละจากใบหน้าของหญิงสาวเลยแม้แต่วินาทีเดียว
“ชีพจรยังมีครับ อาการหัวกระแทก ต้องรีบส่งโรงพยาบาลทันที” เสียงเจ้าหน้าที่ดังแว่วมาเขาพยักหน้าทันทีโดยไม่ต้องคิด
“ส่งไปสิริเวชนะครับ…โรงพยาบาลของผมเอง” เขารีบบอกก่อนที่เธอจะถูกพาไปที่โรงพยาบาลอื่น
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว หญิงสาวถูกยกขึ้นเปลสนามอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นเขาก็รีบขับรถตามไปที่โรงพยาบาลหลังจากคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วโดยไม่สนใจจะโทรเรียกประกันมาดูแลเรื่องรถเลยด้วยซ้ำ