ท่านอ๋องเดินออกจากจวนสกุลฟางด้วยความงุนงงในพระทัยที่เกิดขึ้นอย่างถาโถมไม่สิ้นสุด ทั้งท่าทีที่เปลี่ยนไป สายตาที่นางมองเขาตอนพูดบอกเลิกการหมั้นหมายที่ยังมิทันได้เกิดขึ้น
ไหนจะข้อตกลงที่นางพูดอย่างชัดเจนว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีก แม้ว่าทั้งหมดนั่นจะเป็นทุกสิ่งที่ก่อนหน้านี้เขาต้องการมาโดยตลอดก็ตาม
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าอย่างไร”
“ถึงจวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ…จื่อลู่”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
“เจ้าว่า…คุณหนูใหญ่ฟางวันนี้ มีบางอย่างแปลกไปหรือไม่”
“กระหม่อมคิดว่า…นอกจากที่ไม่ได้แต่งตัวราวกับนกยูงรำแพนหลากสีและแต่งหน้าจัดกับสวมเครื่องประดับมากเกินความจำเป็น นอกนั้น….”
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึง…ท่าทาง น้ำเสียงการพูดจาและมารยาท…”
“เรื่องนี้…เอ่อ…”
“ช่างเถอะ ว่าแต่เจ้า…ยังตามสืบเรื่องผู้ที่ผลักนางตกสระน้ำอยู่หรือไม่”
“ท่านอ๋องยังมิได้สั่งการมาเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็เร่งตามสืบให้ข้าที ข้าอยากจะรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่ หากว่าฟังจากที่นางพูด”
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่พระองค์บอกว่านางเป็นผู้ขอยกเลิกการหมั้นไปแล้ว เหตุใดพระองค์ยังต้องสืบ…”
“หากว่านางถูกทำร้ายเพราะข้าเป็นต้นเหตุ…เรื่องนี้ข้ามิอาจวางใจปล่อยคนร้ายไปได้เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเร่งสอบสวนเรื่องนี้โดยเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ”
จวนสกุลฟาง
“ท่านพ่อข้ามาแล้ว”
“หยุนเฟยมาแล้วหรือ”
“แล้วคนอื่น ๆ เล่าเจ้าคะ”
“คนอื่น ๆ เจ้าหมายถึง…ท่านอ๋องก็เสด็จกลับไปแล้วนี่”
“น้าหลานกับหลีเม่ยเจ้าค่ะ เหตุใดไม่มานั่งกินข้าวพร้อมกันเล่าเจ้าคะ”
ท่านราชครูถึงกับหันไปมองใบหน้าพ่อบ้านเจาที่ตกใจระคนแปลกใจที่ฟางหยุนเฟยเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ก่อนหน้านี้นางไม่มีทางร่วมโต๊ะกับฮูหยินและคุณหนูรองเป็นอันขาดเพราะนางมิได้ยอมรับทั้งสองแต่เหตุใดวันนี้….
“ท่านพ่อ…ไม่ได้ฟังที่ข้าถามหรือเจ้าคะ”
“อ้อ ก็ปกติเจ้าไม่ยอมร่วมโต๊ะกับพวกนาง ก็เลย…”
“ท่านน่ะให้คนไปเรียกพวกนางมาเถอะ กินสองคนเหงาจะแย่ ดูสิกับข้าวเต็มโต๊ะกินกันสองคนไม่หมดหรอก ไปเถอะ รีบไป”
“ขอ…ขอรับคุณหนูใหญ่ ไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
พ่อบ้านเจาวิ่งไปด้วยความดีใจ ในที่สุดสกุลฟางก็มีวันที่สงบสุขได้เสียที ไม่นานเมื่อทั้งสองแม่ลูกได้ยินว่าคุณหนูใหญ่เชิญไปกินข้าวที่ห้องอาหารด้วยกัน ทั้งคู่ถึงกับตกใจราวกับฟังผิดไป
“พ่อบ้านเจา ท่านบอกว่า…”
“ขอรับฮูหยิน คุณหนูใหญ่ให้มาเชิญฮูหยินและคุณหนูรองไปกินข้าวขอรับ”
“ท่านแม่ คุณหนูใหญ่…..ยอมรับท่านแล้ว”
“รีบไปเถิดขอรับฮูหยิน”
“ได้ ได้…หลีเม่ยเร็วเข้า อย่าให้ท่านพ่อกับคุณหนูใหญ่รอนาน”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
สองแม่ลูกเดินตามพ่อบ้านเจาออกไปยังห้องอาหาร ทั้งจวนสกุลฟางรู้ดีว่าฮูหยินรองนั้นตั้งแต่แต่งเข้ามาก็ดูแลจวนอย่างมิได้ขาดตกบกพร่อง
มีเพียงคุณหนูใหญ่เท่านั้นที่ไม่ยอมรับนางแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าต่อต้านเพราะนางโหดร้ายกับบ่าวไพร่และสาวใช้ที่บังอาจขัดขืนคำสั่ง ทำให้จวนสกุลฟางเกือบสิบปีมานี้มิได้อยู่กันอย่างสงบสุขมากนัก
ห้องอาหาร
“มากันแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ นี่หลีเม่ย เจ้ามานั่งข้างพี่นี่เถอะ ดูสิผอมจนเอวคอดไปหมด ท่านน้า นี่หลีเม่ยวัน ๆ กินสิ่งใดบ้างเจ้าคะ เหตุใดนางจึงผอมผิดปกติคนวัยเดียวกันเช่นนี้เล่า”
วิญญาณของคุณครูที่มองดูเด็กและค่อนข้างเอาใจใส่เรื่องโภชนาการเอ่ยทักน้องสาวขึ้นเมื่อเห็นนางชัด ๆ อีกครั้ง ราชครูกับฮูหยินถึงกับหันไปมองหน้ากันอย่างตกใจที่นางเอ่ยถามขึ้นมา
“ไม่ได้ ๆ หลีเม่ย เจ้าจะถึงวัยปักปิ่นเมื่อใดนะ”
“อีก…ท่านแม่…”
นางยังคงกลัวหยุนเฟยและไม่คุ้นชินกับการพูดจาดีของหยุนเฟยเท่าใดนัก นางพึ่งจะอายุสิบหกปีต่างกับหยุนเฟยสามปีเลยพูดไม่ค่อยถูกเท่าใดนัก ฮูหยินจึงเป็นผู้ตอบแทนนาง
“อีกครึ่งปีเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่”
“ท่านน้า ท่านจะเรียกข้าคุณหนูใหญ่อีกนานหรือไม่เจ้าคะ ท่านควรจะเรียกข้าด้วยชื่อได้แล้ว”
“ชะ…เรียกชื่องั้นหรือเจ้าคะ”
“คำสร้อยนั่นก็ไม่ต้องใช้แล้ว”
“คำสร้อย??…..คือสิ่งใดเจ้าคะ”
หยุนเฟยหันไปหัวเราะกับบิดาและหันมามองใบหน้าน้องสาวที่เริ่มจะยิ้มออกเมื่อเห็นนางยิ้มขำมารดาที่ไม่รู้จักคำที่นางพูดโพล่งออกมาอย่างลืมตัว นางพยายามแล้วแต่ก็ติดพูดคำปัจจุบันในชาติก่อนมาด้วย
“เอาเป็นว่าท่านน้าลองเรียกข้าว่าหยุนเฟย ได้หรือไม่เจ้าคะ”
“คือว่า….”
ท่านราชครูหันไปยิ้มและพยักหน้าให้นางเพราะก่อนที่พวกนางจะมาหยุนเฟยนั่งเล่าให้เขาฟังมาก่อนแล้วว่าฮูหยินทำไก่ตุ๋นโสมไปให้นางที่ห้องและพวกนางก็กินข้าวร่วมกันเขาจึงดีใจที่บุตรสาวเริ่มคิดได้แล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์ร้าย ๆ นั่นมา
“หยุน…หยุนเฟย”
“อาเม่ย ดูท่านแม่เจ้าสิร้องไห้อีกแล้วเช็ดน้ำตาให้นางเร็วเข้า”
“คุณหนูใหญ่ ท่านเรียกข้าว่า….”
“เจ้ามิใช่น้องข้าหรือหลีเม่ย ข้าเรียกเจ้าอาเม่ย ได้หรือไม่”
“นั่น…ข้า…”
“เจ้าไม่อนุญาตหรือ ข้าขอโทษ ๆ งั้นข้าจะเรียกเจ้าเช่นเดิม”
“ได้เจ้าค่ะ ได้!!”
“เสียงดังทำไม เจ้าตื่นเต้นอะไรเด็กน้อย ท่านพ่อดูนางสิเจ้าคะ”
“ฮ่า ๆ เอาละ ๆ น้องก็ตกใจน่ะสิ ปกติเจ้าเอาแต่ดุนางนี่นา เอาละหลีเม่ย พี่เจ้าเรียกว่าอาเม่ยก็ดีเช่นกัน พ่อเองบางทีก็เรียกเจ้าเช่นนั้นเช่นกัน”
“เช่นนั้น….เช่นนั้นข้า…ขอเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
เกิดความเงียบขึ้นเมื่อหลีเม่ยเอ่ยถามนางเรื่องนี้ขึ้นมา ท่านราชครูหันไปมองหยุนเฟยและแอบหวั่นใจ ฮูหยินหลานนั่งตัวสั่นไปทั้งตัว
มีเพียงหยุนเฟยที่ยังยิ้มไม่หุบพร้อมกับหันมาลูบหัวหลีเม่ยด้วยความเอ็นดูตามประสาคุณครูอนุบาลที่เห็นเด็กเติบโตและนางเองก็รักเด็กเอามาก ๆ
“ได้เลย ก็ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านี่ ใครให้ข้ามีน้องที่น่ารักเช่นนี้กันนะ แต่ว่านะอาเม่ยเจ้าน่ะน่าจะผอมเกินไป ข้าคิดว่าจะต้องปรับเรื่องอาหารและโภชนาการของที่จวนเราเสียใหม่ เจ้าจะได้โตและสูงตามมาตรฐานอย่างที่ควรจะเป็น”
ทั้งราชครูที่ถือว่ามีความรู้ก็เผลอหันไปมองนางที่พูดคำแปลก ๆ ที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน นางใช้คำศัพท์ที่ยากเกินกว่าที่คนธรรมดาเช่นหลานฮูหยินกับหลีเม่ยจะเข้าใจจนเขาเริ่มนึกสงสัยว่าที่ผ่านมาหยุนเฟยซ่อนความลับเรื่องความรู้ของนางเอาไว้หรือไม่
“เหตุใดพวกท่านมองหน้าข้าเช่นนั้นเล่า ข้าพูดเรื่องจริงนะท่านดูสิ ที่จริงอาเม่ยอายุสิบหกที่จริงน่าจะต้องอวบกว่านี้อีกนิดและน่าจะสูงได้เท่าข้าเลย ท่านน้าท่านเองก็ทำอาหารอร่อย เอาเป็นว่าหลังจากนี้เราคงต้องเริ่มปรับเรื่องนี้ก่อน อาเม่ย เจ้าอย่าบอกนะว่าไม่ชอบกินผักน่ะ”
“ข้า…กินได้นะเจ้าคะ เป็นบางอย่าง”
“ว่าแล้วเชียว ไม่ได้นะวัยเช่นเจ้ากำลังเป็นวัยกำลังเจริญเติบโตดังนั้นอาหารที่มีประโยชน์ทั้งโปรตีน วิตามิน คาร์โบไฮเดรตต้องครบ ธาตุเหล็กก็สำคัญมากเจ้าจะได้แข็งแรง”
“เอ่อ…คุณหนู..เอ่อ หยุนเฟย ที่เจ้าพูดมา มันคือชื่อของอาหาร หรือว่า….”
หยุนเฟยหลับตาพร้อมกับไล่ความคิดออกไป นางเผลอพูดแบบนี้ออกไปอีกแล้ว นางหันมายิ้มให้หลานอี้เหนียง
“ท่านน้าอย่าได้ใส่ใจข้าเลยเจ้าค่ะ เอาเป็นว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เราจะมาเริ่มจัดการเรื่องอาหารของในจวนใหม่ทั้งหมด และเจ้าอาเม่ย อย่าได้คิดหนีเชียว”
“พี่ใหญ่ เหตุใดวันนี้ท่านพูดราวกับอาจารย์ตามสำนักศึกษาเลยเจ้าคะ”