บทที่ 7 ขายผลไม้ที่อำเภอเหอหลัว

1765 Words
ยามรุ่งสางในเช้าที่สดใสไร้เมฆในที่พักม้าชั้นบนที่มีสองร่างของเด็กชายหญิงนอนอยู่อย่างเป็นสุข เมื่อแสงแดดสีทองอ่อน ๆ เริ่มส่องสว่างลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ปลุกให้ร่างที่ในโลกอีกยุคที่ทะลุมิติเข้ามา ที่มักจะตื่นเช้าเสมอเริ่มขยับตัว อากาศกำลังเย็นสบายกับการได้นอนที่นอนนุ่ม ๆ ทำให้ภูผาในร่างผิงหยางชักเริ่มขี้เกียจ แต่ทว่าเขามีงานใหญ่รออยู่จึงมัวโอ้เอ้ไม่ได้ เมื่อเขาวาดขาเล็ก ๆ ของเด็กชายวัยสิบหนาวลงจากเตียงนอน ห่มผ้าให้กับนอนสาวที่ยังพริ้มตาหลับให้ดีก่อนจะเข้าไปอาบน้ำก่อนที่น้องสาวจะตื่นขึ้น เขาเก็บของต่าง ๆ เข้าในกระเป๋าเป้ของตัวเองแล้ววางไว้บนโต๊ะในห้อง ในกามีน้ำชาที่เย็นชืดแล้ววางตั้งไว้ที่โต๊ะกลม เขาจึงไม่ดื่มชาแต่เปิดกระบอกน้ำดื่มของตนดื่มมันแทน ขณะที่กำลังนั่งพักสักครู่ ได้ยินเสียงนกร้องขับขาน ผ่านทางอากาศ จึงชะโงกหน้าไปดูด้านล่างเมื่อเห็นม้าของตัวเองตื่นกันแล้ว ตนจึงอยากปลุกน้องสาวให้เตรียมตัว แต่กลิ่นอาหารที่ลอยกรุ่นมาในอากาศทำให้เขาเริ่มท้องร้องเสียแล้ว มันเป็นกลิ่นโจ๊กที่เขาทำเมื่อเย็นวานกับซาลาเปา น่าจะเป็นเสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นไปซื้อแถว ๆ นี้มากระมัง “เหยาเหยา ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวเราต้องเข้าไปในเมืองกัน” เสียงเด็กชายปลุกน้องสาวให้ตื่นขึ้นล้างหน้าอาบน้ำ จะได้เตรียมตัวไปขายผลไม้ก่อนจะเดินทางต่อไปยังอำเภอซีเป่ย จากที่เขาคุยกับจงเช่อกว่าจะผ่านอำเภอหลัวเหอเข้าซีเป่ยคงกินเวลาอยู่ถึงสองวัน เขาคงจะต้องนอนกลางป่าเขาหรือหากดีหน่อยคงมีที่พักม้าคล้ายหมู่บ้านหลัวไห่ “เหยาเหยา ตื่นแล้วเจ้าค่ะ” เด็กน้อยรีบตกใจตื่นทันที เมื่อรู้ว่าตัวเองนั้นหลับนานเกินไป หากยังอยู่ที่บ้านท่านปู่และท่านย่า ตนคงต้องโดนน้ำสาดแล้ว ที่ไม่ลุกขึ้นมาทำงาน เมื่อตื่นขึ้นพบว่าตนไม่ได้อยู่บ้านหลังนั้นก็โล่งใจ “ตกใจอันใดน้องพี่” ผิงหยางเข้าไปปลอบน้องสาว ลูบหัวเบา ๆ หากให้เดาคงเป็นเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับตระกูลนั้น “น้องนึกว่ายังอยู่บ้านท่านปู่ท่านย่า กลัวโดนตีเจ้าค่ะ” เรียกได้ว่าไม่มีวันไหนนางจะได้กินอิ่มนอนอุ่นเลย ซ้ำยังถูกตีด้วยท่อนฟืนเป็นประจำ ผิงหยางดึงกางเกงของน้องสาวขึ้น แล้วก็เห็นรอยเขียวช้ำทั้งสองขา ทำให้รู้สึกสงสารน้องสาวนัก เขาจึงดึงนางมากอดเอาไว้ “ต่อไปพี่จะดูแลเจ้าเอง ไม่ให้ใครมาทำร้ายเจ้าเอาได้” ผิงหยางให้สัญญากับน้องสาว หากผู้ใดมันกล้ารังแกเขากับน้องสาวอีกครั้งก็ลองดู เขาจะตีมันให้ขาหักเลยคอยดู เขาฝึกวิชาทหารจากครูทั้งการจับอาวุธและการต่อสู้แบบประชิดตัว เพื่อเอาตัวรอด แน่นอนว่าจุดไหนจุดตาย จุดไหนทำให้พิการเขาย่อมรู้ ดังนั้นต่อไปจะไม่มีใครรังแกเขาทั้งคู่อีก สองพี่น้องเก็บกวาดห้องให้เสี้ยวเอ้อร์ด้วย จะได้ไม่เหนื่อยมาก แล้วลงมาด้านล่างพบว่าเสี้ยวเอ้อร์ตักอาหารรอเขาไว้ ทั้งยังมีซาลาเปาไส้หมูสับอีกคนละลูก “คุณชายน้อยมาแล้ว ข้าเอาซาลาเปามาให้ท่านตอบแทนที่ท่านทำอาหารให้ข้าเมื่อวาน แล้วก็อุ่นโจ๊กที่ท่านทำไว้เมื่อคืน มาทานกันเถอะขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ก็หิวแล้วเช่นกันจึงชวนทั้งคู่ทานอาหาร “ขอบคุณมากเลยขอรับ” “ขอบคุณเสี้ยวเอ้อร์เจ้าค่ะ” สองเด็กน้อยกล่าวอย่างมีมารยาท เช่นนี้แล้วเสี่ยวเอ้อร์ยิ่งเชื่อว่าทั้งคู่เป็นเด็กจากตระกูลสูงศักดิ์เป็นแน่ เขาจึงปฏิบัติต่อพวกเด็กทั้งสองดีสักหน่อย วันหน้าไม่แน่ว่ามีโอกาสเขาอาจจะขอความช่วยเหลือได้ หลังจากมื้อเช้าทั้งม้าและเด็กสองคนก็เตรียมตัวออกเดินทางเข้าสู่ตัวอำเภอเหอหลัว เด็กชายตัวน้อยอยากได้ตะกร้าสานสะพายหลังเพื่อจะได้หยิบผลไม้ออกจากตะกร้าได้ แต่เสี่ยวเอ้อร์กลับให้พวกเขาโดยไม่คิดตำลึงสักอีแปะ ทั้งยังบอกว่านี่เป็นท่านยายของเขาสานเอง ทำง่ายไม่ยุ่งยาก เขาให้ท่านยายสานให้ใหม่ก็ได้แล้ว ดังนั้นกระเป๋าเป้ของผิงหยางจึงใส่ไว้ในตะกร้าสานที่สะพายด้านหลัง เพื่อหลบเลี่ยงสายตาผู้คนที่ไม่เคยเห็นหน้าตาประหลาดของกระเป๋าเป้ของเขา เมื่อทั้งคู่ขึ้นม้าเสร็จแล้ว ทั้งหมดก็เดินทางไปยังตัวอำเภอเหอหลัวทันที จงเช่อรู้เส้นทางดีจึงพาม้าทั้งหมดนำไป ตลอดสองฝั่งทาง มีเกวียนวัวชาวบ้าน ทั้งคนเดินเท้า จึงทำให้ผิงหยางกำชับจงเช่อ “จงเช่อบอกทุกตัววิ่งให้ระวังหน่อย เดี๋ยวจะชนคนจนเกิดอันตราย” เขายังไม่มีเอกสารแน่ชัดต้องไปถึงบ้านเดิมมารดาก่อน ให้ท่านผู้ใหญ่บ้านจัดการคัดชื่อของพวกเขาส่งอำเภอจึงจะมีเอกสารติดตัว หากมีเรื่องอันใดระหว่างทางเขาก็ไร้ที่มาที่ไป จะเสียเปรียบได้ง่าย ฮรี่Zzzzz “ได้เลยขอรับนายน้อย” จงเช่อรีบกำชับสหายที่ร่วมทางมาด้วยกันทันที เขาตัดสินใจว่าจะไปอยู่ที่บ้านเดิมของผิงหยางเช่นเดียวกัน หากอยู่ในป่า คนไม่ดีมาจับพวกเขาไปขายอีก เขาก็ต้องไปใช้แรงงานหนัก ไม่สู้อยู่กับเด็กสองคนนี้เขาจะได้เป็นอิสระมากกว่า ไม่นานนักม้าทั้งห้าตัวก็วิ่งมาถึงที่ฝากม้า ผิงหยางจ่ายอีแปะเพื่อฝากม้าไว้ด้านนอก หากเอาเข้าไปด้วยจะเป็นที่เอิกเกริกจนเกินไป เขาทั้งคู่ยังเป็นเด็กอยู่อีกด้วย “เจ้าหนู ฝากม้าห้าตัว ตัวละ 10 อีแปะ” ชายชราบอกกับเด็กชายตัวน้อยที่ท่าทางคล่องแคล่วยิ่งกว่าผู้ใหญ่คงจะมีธุระในเมืองแห่งนี้กระมัง “นี่ขอรับท่านลุง 50 อีแปะ” เขาหยิบพวงอีแปะออกมาแล้วจ่ายให้กับท่านลุงที่รับฝากม้าไป เขาเห็นว่าท่านลุงนั้นมีคนมาฝากม้าน้อย จึงเลือกตรงมาหาท่านลุง จะได้กระจายรายได้ ส่วนคนอื่นนั้นมีม้าเยอะแล้ว เขาจึงไม่เข้าไป อีกอย่างเสี่ยงม้าพยศอีกด้วย “ขอบใจมากเจ้าหนู” ท่านลุงรับฝากม้าดีใจ วันนี้ได้อีแปะกลับบ้านแล้ว เขาทำอาชีพนี้มานาน บางวันก็ไม่ได้รับอีแปะเลย เพราะตนไม่มีเส้นสายทั้งที่พักม้าอยู่ห่างจากประตูเข้าอำเภอ คนจึงเลือกฝากด้านหน้าจะได้ไม่เดินไกล สองพี่น้องเดินจับมือเข้าไปในอำเภอเหอหลัว มีเจ้าหน้าที่ตรวจการเข้าออกของคนอีกด้วย แต่เพียงแค่จดชื่อและสอบถามถึงที่มาเท่านั้น “เจ้าหนูน้อยเจ้ามาที่นี่ทำอันใด” “คารวะใต้เท้าขอรับ ข้าผิงหยาง กับน้องสาวผิงเหยา มาขายผลไม้ป่าเล็กน้อย แล้วจะซื้อผ้าอีกนิดหน่อยขอรับ ท่านพ่อกับท่านแม่กำลังเฝ้าของอยู่ที่จุดฝากม้าด้านโน้นขอรับ” ผิงหยางเลือกโกหกอีกเช่นเคย เด็กสองคนหากบอกว่ามาลำพังคงจะเป็นที่น่าสงสัยนัก “อ่อ...เช่นนั้นหรอกรึ ไปได้” เจ้าหน้าที่รีบให้เข้าไปเพราะท่าทางเด็กชายผู้นี้ดูมีสัมมาคารวะ ยิ่งท่าทางของน้องสาวนอบน้อมเช่นนี้ด้วย พาให้เอ็นดูนึกถึงบุตรชายบุตรสาววัยสี่หนาวที่บ้านเป็นอย่างยิ่ง “ขอบคุณขอรับ” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” ผิงเหยาไม่ขัดท่านพี่ เพราะทุกอย่างที่ท่านพี่ทำล้วนมีเหตุผล นางเดินจับมือท่านพี่เพราะกลัวหลง มีผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย ทั้งมีพ่อค้าแม่ค้าเอาของมาขายมากมาย จึงทำให้อำเภอเหอหลัวคึกคักนัก ผิงหยางมองไปรอบ ๆ เพื่อหาว่าโรงเตี้ยมใดที่ใหญ่ที่สุด เขาเอาผลไม้ที่เก็บจากป่าไปขาย ทั้งเมื่อเช้าเขายังแอบดูว่าผลไม้พวกนี้มันมีเน่าเสียหรือไม่ แต่พบว่ามันสดเหมือนกับเพิ่งเก็บมาใหม่จากต้น นับว่ากระเป๋าเป้ของเขานั้นวิเศษเสียจริง เขาเดินมาจนถึงกลางซอยที่เป็นย่านการค้าคึกคัก เมื่อมองขึ้นไปยังโรงเตี้ยมที่มีเหลาอาหารด้วยสูงถึงห้าชั้น ป้ายเขียนว่า ‘โรงเตี้ยมหลีเซีย’ ทำให้เขาคิดว่าที่นี่น่าจะมีกำลังซื้อผลไม้ป่าที่เขานำมาขาย เมื่อสองพี่น้องเดินไปด้านหน้า มีเสี่ยวเอ้อร์กำลังจัดป้ายหน้าร้าน และเช็ดโต๊ะอยู่จึงเข้าไปสอบถาม “คารวะพี่ชายเสี่ยวเอ้อร์ขอรับ ข้ามีผลไม้ป่าอยากมาขายให้ ไม่ทราบว่าโรงเตี้ยหลีเซียรับซื้อหรือไม่ขอรับ” เสียงนุ่มนวลของเด็กชายดึงความสนใจของเสี่ยวเอ้อร์จนเคลิ้ม เพราะไม่มีใครเคารพนบน้อมเขาสักคนเดียว ทำให้เสี่ยวเอ้อร์ยืดอกขึ้นทันที “มีอันใดมาขายบ้างเล่า” เขาถามก่อน หากเป็นพวกพุทรานั้นที่โรงเตี้ยมมีมากแล้ว คงไม่รับซื้อหากเป็นอย่างอื่นก็จะรับ “เรียนพี่เสี่ยวเอ้อร์ มีเฉ่าเหมย หลันเหมย สาลี่ แล้วก็...” “เดี๋ยวเจ้า...หยุดก่อน” เด็กชายยังไม่ทันกล่าวจบเสี่ยวเอ้อร์ก็ให้เขาหยุดแล้วรีบพาเขาไปในร้านทันที ไม่ให้โรงเตี้ยมฝั่งตรงข้ามได้ยิน ผลไม้พวกนี้หายากนัก เพราะปีนี้เหอหลัวแห้งแล้ง มีก็แต่ชายป่าติดกับเมืองหลวงที่อุดมสมบูรณ์แต่ว่าคนไม่ค่อยไปกันเพราะอันตราย เมื่อมีของดีในมือแล้ว ต่อไปโรงเตี้ยมของเขาคนก็จะมามากขึ้น “เชิญคุณชายน้อยและน้องสาวเข้าไปนั่งพักด้านในก่อน การค้าคุยกันด้านหน้าไม่ได้” เสี่ยวเอ้อร์ยกน้ำชาให้เด็กทั้งสอง แล้วรีบวิ่งไปตามท่านหลงจู้มาทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD