บทที่ 1 พี่ใหญ่ข้าหนาว

1563 Words
“พี่ใหญ่...ข้าหนาว” เสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นข้างใบหูของภูผา ทำให้ชายหนุ่มขยับเปิดเปลือกตาขึ้นกะพริบตาไปมาพร้อมปรับแสงในความมืด ที่อากาศหนาวเย็นกว่าตอนก่อนที่เขาเดินป่าในตอนหัวค่ำ ที่เป็นหน้าฝนมียุงชุกชุมค่อนข้างมาก จนเขาต้องแต่งตัวมิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อเขาขยับพลิกตัวที่ตะแคงให้นอนหงาย ความปวดหนึบที่ศีรษะก็เกิดขึ้น เขาปวดหัวแทบระเบิดพร้อมกับความทรงจำของใครไม่รู้ผุดขึ้นเต็มหัวไปหมด ‘นะ...นี่มัน...’ เสียงแหบเครือเปล่งออกมา เมื่อเขาปวดร้าวไปยันกระบอกตา ลามไปยังศีรษะด้านหลังจนแทบใกล้จะระเบิดเต็มที เขาจะร้องก็ร้องไม่ออกได้แต่หลับตาปล่อยให้ภาพต่าง ๆ ลอยเข้ามาในความทรงจำให้จบ จนเวลาผ่านไป 1 เค่อ เหมือนอาการจะดีขึ้นเล็กน้อย คงเหลือเพียงอาการปวดที่ศีรษะกับอาการตัวร้อนยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย ‘เขาไม่สบายงั้นเหรอ?’ ความทรงจำก่อนตื่นคือเดินป่าในวิชาฝึกความกล้า กับการแบกกระเป๋าเป้ทหาร ที่มีอุปกรณ์ดำรงชีพในป่าของจริง ที่ครูฝึกให้ภูผาฝึก และเขาก็ตั้งใจเป็นอย่างดี แต่เขาดันเหยียบกิ่งไม้แห้งจนลื่นล้มหัวฟาดกับกิ่งไม้ใหญ่ และจำอะไรไม่ได้อีก จนมารู้สึกตัวเอาก็ตอนตัวเองนอนอยู่ในความมืด ที่แขนขารู้สึกจะหดเล็กราวกับเด็ก 10 ขวบไม่พอ ยังเหมือนขาดสารอาหารอีกต่างหาก เหมือนเติบโตไม่สมวัย แล้วเสียงเย็นยะเยือกของเด็กผู้หญิงก็เรียกเขาอีกครั้งแต่ไม่ใช่ภูผา “พี่ใหญ่เสี่ยวเหยาหนาวแล้วก็หิวด้วย” แค่คำพูดว่าเสี่ยวเหยาความทรงจำในร่างของเด็กคนนี้ก็ตีเข้าหัว ราวกับถูกไม้หน้าสามฟาดตีแสกเข้าหน้า ได้แต่คิดว่านี่อาจจะเป็นเพียงความฝันของเขาก็ได้ ‘ไม่...ไม่จริง...ข้าคือภูผา...เหตุใดมาอยู่ในร่างเด็กที่มีนามว่าผิงหยาง แล้วมีน้องสาวตัวเล็กที่น่าสงสารเช่นนี้เล่า’ มือเล็ก ๆ กวาดมองหากระเป๋าตัวเองคาดว่าอาจจะยังตกอยู่แถวนี้ ในนั้นมีอุปกรณ์ยังชีพในป่าที่สามารถอยู่ได้แรมสัปดาห์ เพราะการฝึกครั้งนี้เป็นการฝึกจริงจังเหมือนทหาร ดังนั้นของที่อยู่ในกระเป๋าล้วนเป็นของที่ทหารใช้กันจริง ๆ เขาจำได้ว่าในนั้นมียา มีน้ำและอาหารและยังมีไฟฉายด้วย เขาพยายามหอบเอาสังขารที่น่าจะกำลังป่วยของเด็กชายลุกขึ้น แล้วหาไฟฉายออกมาเปิดแล้วหรี่ไฟ ให้พอเพียงมองเห็นความสว่าง เมื่อฉายไฟไปทั่ว ๆ เขาก็รับรู้ได้แล้วว่าไม่ผิดแน่ เขาย้อนอดีตมาเหมือนกับนิยายแนวทะลุมิติในเว็บนิยายดัง มีทั้งนักเขียนคนไทยและงานเขียนแปลจากต่างประเทศ “ข้าฝันไปหรือเปล่า” เขายังถามตัวเองอีกรอบ แต่เมื่อเห็นแววตาน่าสงสารของเด็กสาวที่ใบหน้ามอมแมมราวกับไม่ได้อาบน้ำ ที่บ่นหิวและหนาวเขาจึงหยิบเอาขนมปังขึ้นมาฉีกถุงออกข้างในมันเป็นไส้ลูกเกดสีดำ ให้นางกินแล้วก็เอากระติกน้ำสีทหารที่ยังมีน้ำอยู่เต็ม เห็นขนาดมันไม่ใหญ่มากก็จริงแต่เก็บน้ำได้เยอะเชียว เขาควานหายาพารา ยาลดไข้ ยาแก้ไอ แกะแล้วกระดกเข้าปาก ตามด้วยน้ำและก็หยิบขนมปังในกระเป๋าตัวเองออกมาอีก แต่เหมือนของกินยิ่งล้วงกลับยิ่งมีเพิ่ม เขาจำได้ว่ามีขนมปังสามห่อ แต่เมื่อล้วงไปอีกทำไมยังมีสามห่อเช่นเดิมล่ะ ‘อย่าบอกนะว่าเจ้ากระเป๋านี่ทะลุมิติมาในโลกคู่ขนานนี้เพื่อช่วยเหลือเขา...’ บ้าบอเกินไปแล้ว ขณะที่ชีวิตกำลังสิ้นหวังอยู่นั้น กลับมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อดูเหมือนว่าความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นในความทรงจำจะมีทางช่วยเหลือเขา ต้องสะพายกระเป๋านี้ติดตัวไม่ยอมให้ห่างกายทีเดียว เขาจำได้ว่าเพื่อนที่เป็นคุณชายแสนร่ำรวยให้เสื้อขนเป็ดใส่กระเป๋าเขามาด้วย เพราะบอกว่ากระเป๋าเขากว้างและยัดของได้เยอะ ทั้งที่ประเทศไทยร้อนตลอดชาติ คิดได้ยังไงเอาเสื้อขนเป็ดมา แต่เมื่อซักถามได้ความว่าแม่ของมันกลัวลูกชายจะหนาวกลางคืน เขาอยากจะมองบน แต่เพราะแบรนด์ดังแล้วเสื้อเหมือนไม่หนาแต่โคตรอุ่น จึงดึงมันออกมาให้น้องสาวในโลกคู่ขนาดของเขาได้สวมใส่ “ท่านพี่นี่อันใดเจ้าค่ะ” ผิงเหยาที่เคี้ยวอะไรไม่รู้ รู้แต่อร่อยเข้าท้องอย่างมูมมาม จนไม่ได้ถามพี่ชายว่าพี่ชายเอามาจากที่ใด นางอายุ 5 หนาวเชื่อฟังพี่ชายตามที่ท่านพ่อท่านแม่สั่งไว้ และเมื่อพี่ชายบอกว่าอะไรก็เชื่อไปหมด “นี่เป็นเสื้อที่พี่ได้มาจากพ่อค้าเร่ พี่ไปรับจ้างช่วยเขาแบกสินค้าลงเรือ” เหตุผลนี้น่าจะสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว ที่จะบอกน้องสาวของเขา หากขืนบอกว่าเขาไม่ใช่พี่ชาย เป็นวิญญาณที่มาสิงร่าง พอดีน้องสาวร้องไห้ไม่กล้าเข้าใกล้กันพอดี เมื่อเห็นน้องสาวไม่พูดอะไรทั้งยังยิ้มและกินขนมปังต่อไป เขาก็ดีใจแล้วนั่งคิดว่าก่อนที่จะตื่นเด็กชายผู้นี้โดนท่านปูและท่านย่าใจร้าย สั่งให้ไปทำงานรับจ้างนอกบ้านเอาตำลึงมาเลี้ยงดูน้องสาว แล้วโกหกว่าท่านพ่อกับท่านแม่ยังไม่ส่งมาให้ แต่เขาแอบได้ยินหลายวันก่อนว่าท่านแม่ส่งตำลึงมาให้หลายตำลึงทอง แต่ท่านปู่กับท่านย่าเอาไปซื้อเสื้อผ้าและอาหาร ม้า ให้ท่านลุงใหญ่ และญาติผู้พี่จนหมด เมื่อเขาเถียงขึ้นมาก็โดนทุบตีไม่พอยังให้อดอาหาร และให้ตากฝนทั้งคืนไม่ให้เข้าเรือน ส่วนน้องสาวก็ขังไว้ในห้องเก็บฟืนที่เป็นที่นอนของเขาสองพี่น้องหลังจากท่านพ่อและท่านแม่ออกไปทำงานหาตำลึง โดยมีเพียงฟางปูนอน ไร้ผ้าห่มให้อุ่นกาย ขณะที่เขาตากฝนทั้งคืนจนไม่สบาย ยังบังคับให้เขาไปใช้แรงงานแลกค่าแรง 40 อีแปะ เพราะเป็นแรงงานเด็กจึงถูกกดเหลือครึ่งหนึ่ง ส่วนผู้ใหญ่ในเมืองหลวงนั้นได้ 80 อีแปะ และเมื่อรับค่าแรงท่านย่าก็มารีดไถไปจนหมด เขาเก็บตำลึงส่วนเกินที่ได้เป็นรางวัล ท่านย่ารู้เข้าตีเขาเกือบตาย และให้อดข้าวอีกต่างหาก ชีวิตทุกวันในเรือนสกุลผิงไม่ต่างอันใดจากขอทาน มีท่านย่าใจร้าย ท่านปู่อำมหิต และเขาเป็นลมระหว่างทำงานโดนหามกลับมาบ้าน ยังจับเขาโยนมาในกองฟางในห้องเก็บฟืนชื้น ๆ เพราะฝนเพิ่งตกไป เขาและน้องสาวนอนกอดกันทุกวันคลายความหนาว นั่นทำให้เด็กชายถึงกับหลั่งน้ำตาให้ชะตาชีวิตสองพี่น้องแซ่ผิงผู้นี้ เมื่อคิดจนได้ความแล้ว เขาก็เริ่มต้นคิดหาทางออกกับเรื่องนี้ เขากินยาแล้วนั่งรู้สึกดีขึ้นเพราะเหงื่อเริ่มออก เห็นทีต้องเดินไปมารอบ ๆ เรือนสักหน่อย จะได้ไล่พิษไข้พร้อมกับเอากระบอกน้ำขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ เมื่อจะดื่มน้ำ มันก็กลับมีเต็มเหมือนเดิม แล้วอาหารอื่น ๆ ก็เหมือนกันหรือเปล่านะ เขาเริ่มคิด แต่ช่างเถอะปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต ในเมื่อได้มามีชีวิตอีกครั้งในโลกอดีต เขาก็อยากทำให้สองผู้เฒ่าตระกูลผิงได้จดจำอะไรไว้สักหน่อย เขาเดินสำรวจบ้านตระกูลผิงที่ฐานะปานกลาง แต่ถ้าเทียบกันในต่างเมืองที่ไม่ใช่เมืองหลวงก็เข้าขั้นคนมีฐานะ ไม่ได้ยากจนข้นแค้นอะไร ทั้งยังมีความสามารถส่งท่านลุงใหญ่เล่าเรียนในสำนักศึกษาขึ้นชื่อในเมืองหลวง เพื่อสอบจอหงวนอีกด้วย แต่กลับปฏิบัติกับท่านพ่อของเขา ‘ผิงเหลียงจิน’ ราวกับไม่ใช่บุตรชายแท้ ๆ ทั้งที่บิดาของเขายังรู้คิดรู้อ่าน สมองปราดเปรื่องกว่าท่านลุงใหญ่ แต่กลับสนับสนุนคนเบาปัญญาให้เล่าเรียน หากเป็นในยุคที่เขาจากมาก็ไม่ต่างอันใดกับขายนาส่งควายเรียนกระมัง ได้แต่คิดแล้วก็สมเพชในวาสนาของท่านปู่ท่านย่า ที่อายุท่านลุงจนป่านนี้ท่านลุงใหญ่ก็ยังสอบไม่ผ่านสักที ใจเขานึกอยากร่ำรวยแล้วส่งท่านพ่อเข้าศึกษาจะได้เป็นขุนนางแข่งกับท่านลุงใหญ่เสียจริง แต่คิดอีกทีหากท่านพ่อร่ำรวยขึ้นสองผู้เฒ่าที่ทำเลวกับลูกชายคนรองก็เรียกร้องให้กตัญญู เช่นนั้นก็ไม่ดีกว่า ตอนนี้หาทางออกไปจากบ้านหลังนี้แบบให้จดจำจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัวสักหน่อยดีกว่า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD