หากหลิงเฟิ่งนางเดินไปทางลำธารที่ท้ายหมู่บ้านจริง มิใช่ว่านางจะตกน้ำตายไปแล้วหรือ เมื่อได้ยินเช่นนั้น ต่างก็รีบเร่งฝีเท้าไปทางลำธารทันที
หลิงเฟิ่ง นางกำลังสำราญอยู่ภายในมิติ โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้ภายในหมู่บ้านวุ่นวายกันมากเพียงใด นางทั้งอาบน้ำขัดตัว กินอาหารจนอิ่มท้อง ก่อนจะหลับพักผ่อนอย่างสบายใจ
ผ่านไปนับสองชั่วยาม ที่ไม่พบร่องรอยการหายตัวไปของหลิงเฟิ่ง ผู้นำหมู่บ้านจึงให้ทุกคนหยุดหาก่อน แล้วรอให้สองแม่ลูกตระกูลซ่งเดินทางกลับมาจากในเมือง ค่อยคิดหาทางกันอีกที
เมื่อจูซื่อและชุยหยุนลงมาจากเกวียนวัว ก็พบชาวบ้านที่รอสองแม่ลูกอย่างกระวนกระวายอยู่ที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน
“อาจู อาหยุนเจ้ากลับมาเสียที” ป้าจินเอ่ยเรียกอย่างละอายใจ
“มีเรื่องอันใดรึขอรับ ท่านป้า” ชุยหยุนเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดี เมื่อเห็นสีหน้าของป้าจินและป้าเหลียน
“เฟิ่งเออร์ นางหายตัวไป ชาวบ้านออกตามหานางทั่วแล้ว แต่ก็ยังไม่พบนาง” ป้าเหลียนเป็นผู้ที่เอ่ยออกมา
“สวรรค์” จูซื่อแทบจะล้มไปกองกับพื้น ความกังวลที่นางมีก่อนหน้ามิใช่ว่านางคิดไปเอง
“นางจะหายไปได้อย่างไรกัน ท่านป้า ท่านหาดูดีแล้วใช่หรือไม่” ชุยหยุนใบหน้าแข็งกร้าวขึ้นมาทันที
หลิงเฟิ่ง นางไม่ได้บ้า หากนางจะหายไปมีทางเดียวคือนางคิดหนีออกจากหมู่บ้าน แต่ถ้านางออกทางประตูเรือน ป้าจินย่อมต้องเห็นนาง
ชุยหยุนรีบเร่งฝีเท้ากลับไปที่เรือนของตนทันที เพื่อไปดูว่าข้าวของ ของหลิงเฟิ่งหายไปด้วยหรือไม่ แต่เมื่อเข้าไปพบก็ว่าทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิม แม้แต่ใบรับรองตัวตนนางก็ไม่ได้เอาติดตัวไปด้วย
“ท่านป้า ท่านหานางที่ใดแล้วบ้าง ท่านเห็นคนเข้ามาในเรือนของข้าหรือไม่”
“ไม่มี ตอนที่ข้ามาเรียกนางให้กินข้าว ประตูเรือนของเจ้ายังลงกลอนไว้ อย่างแน่นหนา ข้าร้องเรียกนางอยู่นาน อาไฉ ก็เลยอาสาเข้าไปดูนาง จึงได้รู้ว่านางหายไป ในหมู่บ้าน ลำธารล้วนแต่หาจนทั่วแล้ว” ป้าจินถอนหายใจออกมา
“บนภูเขา มีผู้ใดขึ้นไปหาแล้วหรือไม่ขอรับ” ชุยหยุนเอ่ยถามอย่างใจเย็น
“เอ่อ...ไม่มี แต่ภูเขาลูกท้ายหมู่บ้าน ชาวบ้านที่หาของป่าไม่มีผู้ใดพบนาง” ป้าเหลียนเอ่ยตอบออกมา
“เช่นนั้นก็เหลือภูเขาหลังเรือนของข้า” เขามองออกไปทางด้านหลังเรือน ก่อนสายตาจะไปสะดุดกับรั้วที่พังจนพาให้สตรีตัวเล็กๆ ลอดออกไปได้
ชุยหยุนเดินเข้าไปสำรวจดู ก็พบว่าไม่ได้มีเพียงรอยเท้าเดียวของหลิงเฟิ่ง แต่มีรอยเท้าอีกสองรอย รอยเล็กเพียงนี้ คงจะเป็นสตรีอย่างแน่นอน ชุยหยุนส่งสายตาไปทางชาวบ้านที่อยู่ภายในเรือนของเขา แต่ก็ต้องหยุดมองสำรวจที่กวงเจินและหวงหลานที่หลบสายตาและทั้งสองยังกอดแขนกันเอาไว้แน่น
“แม่นางกวง และนางหวง พวกเจ้าเห็นเฟิ่งเออร์หรือไม่”
“หะ เหตุใดถึงถามข้ากันเล่า ข้าสองคนช่วยออกตามหานางแต่ก็ไม่พบ จะรู้ได้ไงว่านางอยู่ที่ใด” กวงเจินก้มหน้าหลบสายตา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง มีเพียงเสียงที่สั่นเทาของนาง ทำให้ชุยหยุนรู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นพวกนางอย่างแน่นอน
“ไม่เห็นก็ดี เฟิ่งเออร์ถูกพาคนออกไปจากเรือน” เขาชี้มือให้ผู้นำหมู่บ้านดู
ลุงกู้ นายพรานในหมู่บ้าน ยังเข้ามาช่วยดูและยืนยันอีกเสียงว่า หลิงเฟิ่งนางออกไปทางนี้จริง ทั้งยังมีคนพานางออกไปด้วย
ทุกสายตาตอนนี้หันไปมองที่หวงหลานและกวงเจินอย่างสงสัย แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐานว่าเป็นพวกนางสองคนจึงไม่อาจจะเอาผิดได้ รอยเท้าที่พบก็ย้ำกันจนเสีย ไม่อาจนำมาเทียบกับรอยเท้าของพวกนางได้
“ลุงกู้ ข้าขอแรงท่านได้หรือไม่ขอรับ ข้าต้องการให้ท่านนำทางขึ้นภูเขาด้านหลังเรือน หากพบเฟิ่งเออร์ ข้าต้องตอบแทนพระคุณท่านอย่างดี”
“จะคิดเป็นบุญคุณได้อย่างไรกัน คนหายไปทั้งคนย่อมต้องช่วยกันออกตามหา แต่ว่า...ภูเขาลูกนี้เจ้าก็รู้ว่าอันตรายไม่น้อย หากไม่พบนางก่อนฟ้าจะมืด เจ้าต้องยอมกลับลงมาเข้าใจหรือไม่” ลุงกู้ เอ่ยออกมาอย่างกังวล
“ได้ขอรับ” รอให้ถึงตอนนั้น หากยังหาหลิงเฟิ่งไม่เจอ เขาจะให้ทุกคนลงมาก่อน แล้วค่อยออกตามหานางด้วยตนเอง
หัวหน้าหมู่บ้านสอบถามชาวบ้านว่ามีผู้ใดต้องการขึ้นภูเขาไปพร้อมกับลุงกู้หรือไม่ แต่ก็มีเพียงลุงจินและอาไฉ บุตรชายของป้าเหลียนเท่านั้น ที่ยอมขึ้นไปด้วย
ชุยหยุนก็มิได้บังคับผู้ใด เขาฝากมารดาให้ป้าจินและป้าเหลียนดูแล ก่อนจะรีบเตรียมตัวแล้วพากันออกเดินขึ้นไปบนภูเขา มีเวลาเพียงอีกสองชั่วยามเท่านั้น ก่อนที่ฟ้าจะมืด จะเสียเวลาต่อไม่ได้แล้ว
“นางขึ้นมาบนภูเขาจริงด้วย” ลุงกู้ร้องบอก เมื่อเห็นร่องรอยที่หลิงเฟิ่งนางทิ้งไว้ ทั้งยังมีรอยเท้าสตรีเดินกันอยู่อีกมากมาย
พอเดินตามไปเรื่อย ๆ จึงได้เห็นว่ามีสองรอยที่ยืนอยู่กับที่ แต่อีกรอยเดินหายเข้าไปด้านในป่า
“จะตามต่อหรือไม่” อาไฉกลืนน้ำลายลงคอ ด้วยรู้ดีว่าป่าด้านในมีสัตว์ร้ายอยู่
“อาไฉ หากเจ้ากลัวรออยู่ด้านนอกก็แล้วกัน ข้าจะเดินเข้าไปหานางต่อ” ชุยหยุนไม่ตำหนิอาไฉเลยสักนิด เพียงแค่เขายอมขึ้นมาด้วยก็นับว่าดีมากแล้ว
“ไม่ ไม่ ข้าจะทิ้งเจ้าได้อย่างไร มาแล้วก็เดินต่อเถิด”
บุรุษทั้งสี่ออกเดินต่อ ทั้งยังช่วยกันระวังสัตว์ร้ายที่อาจจะโผล่ออกมาได้ตลอดอีกด้วย
“เฟิ่งเออร์ เจ้าอยู่ที่ใด” ชุยหยุนตะโกนเรียกนางไปด้วย
หลิงเฟิ่งที่หลับอยู่ภายในมิติ นางตกใจตื่น เพราะเสียงเรียกของชุยหยุน ที่ร้องเรียกนางหลายหนแล้ว
“ข้านอนไปนานเลยรึเนี่ย” นางลุกขึ้นขยี้ตาอย่างงัวเงีย ก่อนจะออกจากมิติไปโผล่ด้านนอก
หลิงเฟิ่งเห็นชุยหยุนอยู่ไกลๆ นางคิดว่าเขามาเพียงผู้เดียว จึงได้ร้องเรียกแล้วโบกมือให้เขา
“ข้าอยู่นี่ เจ้าตามหาข้าเจอได้อย่างไร” บุรุษอีกสามคน โผล่หน้าออกมาให้เห็นทีละคน หลิงเฟิ่งได้แต่ยิ้มแข็งค้างทันที
ชุยหยุนได้แต่ส่ายหน้า ความลับของนางคงถูกผู้อื่นรู้เข้าเสียแล้ว แต่ก็รีบเร่งฝีเท้าเข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว
“นางหายบ้าแล้วรึ” อาไฉหันไปหาลุงกู้และลุงจินอย่างสงสัย
“ข้าก็มาพร้อมเจ้า จะรู้ได้อย่างไรเล่า” ลุงกู้รีบเร่งฝีเท้าตามชุยหยุนไปตรงที่หลิงเฟิ่งนางยืนอยู่
“เช่นนี้แล้ว ทุกคนคงรู้แล้วว่าข้าหายบ้า” นางกระซิบบอกความกับชุยหยุน เมื่อเขาจับตัวนางสำรวจว่าได้รับอันตรายที่ใดหรือไม่
“ช่างเถิด แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“หึ ไม่ใช่เสน่ห์ของท่านรึ ที่ทำให้ข้าต้องมาอยู่ในป่าเช่นนี้”
“หวงหลานกับกวงเจินรึ”
“ฉลาดไม่น้อยเลยพ่อหนุ่ม” หลิงเฟิ่งมองเขาอย่างหยอกล้อ
บุรุษทั้งสามเดินเข้ามาถึงตัวของหลิงเฟิ่ง เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นอันใด จึงคิดที่จะรีบออกจากป่า ก่อนที่ฟ้าจะมืด
“เจ้าหายบ้าแล้วรึ” อาไฉเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เจ้าค่ะ ข้าพบท่านเทพ ท่านคงเวทนาข้าจึงได้ช่วยเหลือให้ข้าหายดี” นางอมยิ้มมองพวกเขา
“ดีแล้ว เช่นนั้นก็รีบลงภูเขาเถิด ไปพูดคุยกันที่เรือน” ลุงกู้ที่เคยเห็นสัตว์ร้ายด้วยตาตนเองจึงเอ่ยเร่งให้ทั้งหมดรีบลงจากภูเขา
“เอ๊ะ...” หลิงเฟิ่ง กำลังก้มไปสวมรองเท้าให้ดี เมื่อครู่ที่นางออกจากมิติยังมิได้สวมใส่ให้เรียบร้อย สายตาของนางก็ไปสะดุดเข้ากับของที่อยู่บนพื้น
“มีสิ่งใดรึ” ชุยหยุนเอ่ยถาม เมื่อเห็นหลิงเฟิ่ง นางใช้นิ้วเขี่ยสิ่งที่อยู่ในดิน
“หญ้าหนอน” นางเงยหน้าขึ้นมาพูด