ผ่านมาสามวันที่หลิงเฟิ่งนางใช้ชีวิตอยู่ภายในเรือนตระกูลซ่ง สองแม่ลูกล้วนปฏิบัติกับนางอย่างดีเช่นที่เขาเคยรับปากเอาไว้
ชุยหยุนยังคงล้างหน้าให้นางทุกเช้า หากนางสระผม เขาจะเป็นผู้ที่ซับน้ำให้ และยังเกล้าผมให้นางด้วย เมื่อทำบ่อยๆ ผ่านมาได้เพียงแค่สามวันเขาก็เริ่มจะทำดีขึ้นกว่าครั้งแรกนิดหน่อยแล้ว
“อาหยุน แล้วเฟิ่งเออร์ นางจะอยู่ผู้เดียวได้รึ” จูซื่อเอ่ยออกมาอย่างกังวล
วันนี้นางจะเดินทางเข้าเมืองเพื่อนำผ้าที่ปักเอาไว้ไปส่งให้ร้านขายผ้า ชุยหยุนที่ร่างกายเริ่มจะดีขึ้นในสายตาของมารดา เขาจึงขอติดตามไปด้วย ตัวเขาต้องการเข้าไปคุยเรื่องงานคัดตำราที่ห่างหายไปนาน เพื่อช่วยหาเงินเข้าเรือนอีกทางหนึ่ง
“นางอยู่ได้ขอรับ ข้าจะลงกลอนประตูเรือนอย่างดี และจะวานให้ป้าจินคอยดูนางให้อีกแรง” เมื่อคืนชุยหยุนชวนหลิงเฟิ่งเข้าเมืองไปด้วยกันแล้ว แต่นางไม่อยากเสียค่าเกวียนเพิ่ม จึงขออยู่ที่เรือนดีกว่า
หลิงเฟิ่งนางก็ไม่รู้จะเข้าเมืองไปตอนนี้เพื่ออันใด นางยังไม่มีสิ่งที่ต้องการ ทั้งยังไม่อาจนำของที่อยู่ในมิติออกมาขายได้อีกด้วย
“เช่นนั้น ข้าก็วางใจ” จูซื่อมองมาที่หลิงเฟิ่งอย่างเป็นกังวล แต่เมื่อเห็นนางยิ้มจนเห็นลักยิ้มนางก็ยิ้มตามออกมา
ผ่านมาได้เพียงไม่กี่วันที่หลิงเฟิ่งนางย้ายมาอยู่ที่เรือนตระกูลซ่ง รูปร่างของนางก็เริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นมา เรื่องนี้นับว่าสร้างความแปลกใจให้สองแม่ลูกอยู่ไม่น้อย
อาหารการกินของหลิงเฟิ่งก็ไม่ได้ต่างจากทั้งสอง แต่มีเพียงนางที่ดูเหมือนว่าน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นอยู่ผู้เดียว
หลิงเฟิ่ง นางแอบนำผลผลิตที่อยู่ภายในมิติของนางออกมาเติมใส่ในครัวของตระกูลซ่ง ข้าวสาร น้ำวิเศษ และผักบ้างชนิดที่ในครัวมีอยู่แล้ว
ตอนแรกจูซื่อก็แปลกใจ ไม่ว่านางทำอาหารมากเพียงใด ข้าวของที่มีก็ดูจะไม่ลดลงไปเลย แต่นางก็สิ้นความสงสัย เมื่อคิดได้ว่านางคงไปหามาเพิ่มแต่ลืมไปเอง ด้วยหลิงเฟิ่งและชุยหยุน ต่างก็ไม่ได้ออกไปหาของป่า หรือว่าที่ตัวก็ไม่มีเงินมากพอที่จะไปซื้อข้าวสารมาเติมได้
น้ำในโอ่ง หลิงเฟิ่งก็นำน้ำวิเศษออกมาผสม แม้รูปร่างของสองแม่ลูกตระกูลซ่งจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่หากพิจารณาดูดีๆ ก็จะพบว่าทั้งสองก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเช่นกัน
หลิงเฟิ่ง ถูกพาเข้าไปอยู่ภายในห้อง ชุยหยุนเอ่ยพูดคุยให้นางระวังตัวอยู่สองสามประโยค ก่อนจะยอมออกไป เขาปิดประตูเรือนอย่างแน่นหนา ก่อนจะเดินไปฝากป้าจินที่อยู่ข้างเรือนให้ช่วยดูแลหลิงเฟิ่งให้ด้วย
“ข้านั่งอยู่ใต้ต้นไม้หน้าเรือน มองเห็นเรือนของพวกเจ้าชัดเจน ไม่ต้องห่วง ข้าจะคอยช่วยดูนางให้ รีบไปเถิด ประเดี๋ยวจะไม่ทันเกวียนวัว”
“ขอบคุณท่านป้ามากขอรับ” ชุยหยุนบอกลา ก่อนจะเดินไปหน้าหมู่บ้านพร้อมจูซื่อ
หลิงเฟิ่ง เมื่ออยู่ผู้เดียวนางก็เข้าไปภายในมิติของนาง พอได้เดินสำรวจด้านในก็พบว่าทุกอย่างยังคงเป็นเช่นเดิม
ไม่ว่าจะเป็นเรือนพักด้านใน ที่มีตำรา ข้าวของเครื่องใช้ในยุคของนางก่อนที่จะทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณ
“เมื่อใดจะเอาออกไปได้กัน” นางล้มตัวลงนอนบนเตียงที่ทั้งใหญ่และนุ่มสบาย ก่อนจะกลิ้งไปมา อย่างมีความสุข
“หื้อออ” หลิงเฟิ่งผุดลุกขึ้นนั่งทันที เมื่อนางได้ยินเสียงคนกำลังเข้ามาภายในเรือนตระกูลซ่ง นางคิดว่าสองแม่ลูกลืมของแล้วย้อนกลับมา จึงได้ออกไปดู
ไม่ว่าด้านนอกจะมีความเคลื่อนไหวเช่นใด หลิงเฟิ่งที่อยู่ภายในมิติย่อมจะรับรู้ได้ทันที
“เจ้าแน่ใจนะว่านางอยู่ที่เรือนเพียงลำพัง” เสียงสตรีเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“ข้าเห็นป้าจูกับพี่หยุนขึ้นเกวียนวัวไปแล้ว แต่นังหญิงบ้านางไม่ได้ไปด้วย หึ เป็นเช่นนี้ผู้ใดอยากจะพาออกไปด้านนอก” เสียงนี้หลิงเฟิ่งจำได้ดี เป็นเสียงของหวงหลานไม่ผิดแน่ แต่ว่านางมาทำอะไรตอนที่ทุกคนไม่อยู่
หลิงเฟิ่งอยากจะรู้เช่นกันว่านางจะมาดีหรือมาร้าย จึงนั่งลงที่เตียงภายในห้อง ด้วยใบหน้าที่เลื่อนลอย ราวกับว่าไม่สนใจว่าทั้งสองจะทำอันใด
“หึ เห็นหรือไม่” หวงหลาน เปิดประตูห้องของชุยหยุนมาเห็นหลิงเฟิ่งนั่งอยู่ก็หันไปบอกสหายของตน
“รีบเถิด ประเดี๋ยวมีคนมาเห็นเขา ข้าไม่อยากจะซวยไปกับเจ้าด้วย” หากหวงหลานนางไม่บังคับมา มีรึที่กวงเจินจะยอมตามมาทำเรื่องเสี่ยงๆ เช่นนี้
สตรีทั้งสอง เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม ก่อนจะเดินเข้ามาหาหลิงเฟิ่งที่นั่งอยู่ที่เตียง แต่สายตาของทั้งคู่มีแต่ดูแคลนนาง ที่นางเสียสติ
“อาเฟิ่ง ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่เรือนผู้เดียว จึงจะพาเจ้าไปเดินเล่นด้วยกัน”
“นางจะรู้เรื่องรึ ดูสายตา ไม่ได้สนใจเจ้าสักนิด” กวงเจินเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย
“ฟังไม่รู้เรื่อง แต่หากพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มนางต้องยอมตามออกไปแน่”
หลิงเฟิ่งได้แต่ยิ้มเยาะในใจ แต่ก็นับว่าพวกนางเก่งไม่น้อย ที่เข้ามาภายในเรือนได้ แม้ชุยหยุนจะปิดอย่างแน่นหนาแล้วก็ตาม
หวงหลานจะเข้ามาไม่ได้ ได้อย่างไร กำแพงเรือนอีกฝั่งมันเป็นรูขนาดไม่ใหญ่ แต่ก็พอให้สตรีตัวเล็กๆ สองคนลอดเข้ามาได้อย่างสบาย มันอยู่คนละฝั่งกับเรือนของป้าจิน นางจึงไม่เห็นตอนที่ทั้งสองเข้ามา
“ไปเถิด ข้าจะพาเจ้าไปที่ ที่งดงามจนเจ้าไม่อยากกลับมาที่เรือนตระกูลซ่งอีกเลย” หวงหลานเดินเข้ามาดึงมือของหลิงเฟิ่งให้เดินตามนาง
“ฮ่า ๆ เล่นๆ” หลิงเฟิ่งหัวเราะออกมาเสียงดัง ทั้งยังตะโกนจนหวงหลานต้องปิดปากนางเอาไว้
“เบาๆ หากผู้อื่นรู้เข้า เจ้าจะอดไป” เมื่อเห็นว่าหลิงเฟิ่งพยักหน้ารับ นางก็ปล่อยมือ
ก่อนจะพากันเดินไปช่องทางที่ลอบเข้ามาในตอนแรก กวงเจินคลานออกไปคนแรก เพื่อรอรับหลิงเฟิ่ง
“เร็วเข้า” หวงหลานดันก้นหลิงเฟิ่งให้รีบคลานออกไปเร็วๆ ก่อนที่นางจะตามออกมาเป็นคนสุดท้าย
ทั้งสามเดินไปที่ภูเขา ที่อยู่ด้านหลังของเรือนตระกูลซ่ง หลิงเฟิ่งก็อดที่จะชื่นชมสตรีทั้งสองไม่ได้ ระหว่างทางที่เดินมาล้วนแต่ไม่พบชาวบ้านเลยสักคน
จะพบได้อย่างไร เมื่อภูเขาที่อยู่ทางหลังเรือนตระกูลซ่ง ชาวบ้านไม่ค่อยจะมาหาของป่า ด้วยอีกฟากหนึ่งมีของป่าให้หามากกว่า หากหาที่ภูเขาลูกนี้ทั้งวันยังไม่รู้เลยว่าของที่หาได้จะเต็มตะกร้าหรือไม่
อีกทั้งนายพรานในหมู่บ้านยังพบสัตว์ร้าย พอนำเรื่องมาบอกต่อๆ กัน จึงไม่ค่อยมีผู้ใดมาหาของป่าที่ภูเขาลูกนี้
หลิงเฟิ่งจดจำทางกลับเรือนไว้ในใจ นางเด็ดดอกหญ้าที่ขึ้นข้างทางมาโยนใส่หัวของสตรีทั้งสองไปด้วย
“นังบ้า!!! เอ่อ อาเฟิ่งเจ้าอย่าเล่นเช่นนี้ มันจะเลอะ” หวงหลานรีบเปลี่ยนคำพูด เมื่อฝ่าเท้าของหลิงเฟิ่งหยุดนิ่ง แล้วนางค่อยๆ ถอยเท้าไปด้านหลัง ราวกับว่าหากด่านางออกมา นางจะวิ่งกลับเรือน
“ไปเร็วเถิด หากสายกว่านี้ จะไม่ได้เห็นดอกไม้ที่งดงามบนเขานะ” กวงเจินเดินเข้ามาลากแขนของหลิงเฟิ่งให้เดินต่อ
หากมิใช่ว่าหวงหลานรับปากนาง หากชุยหยุนแต่งหวงหลานเข้าเรือนตระกูลซ่ง นางจะรับกวงเจินเข้ามาเป็นภรรยาอีกคน แม้ร่างกายของชุยหยุนก่อนหน้านี้จะใกล้จะลงหลุมทุกที แต่ตอนนี้เขาก็ดูดีขึ้นไม่น้อยแล้ว