สี่ปีต่อมา...
สองแม่ลูกนั่งอยู่บนรถเมล์สายประจำที่นั่งทุกวัน ชีวิตประจำวันของบัวบูชาก็คือ เลิกงานแล้วเธอต้องรีบไปรับบุตรสาวที่โรงเรียนอนุบาล แล้วก็พาเธอกลับมาฝากไว้กับยายทองม้วน คนที่อยู่บ้านเช่าใกล้ๆ กับเธอ ท่านเมตตาบัวบูชาและลูกมาตลอด แล้วหลังจากนั้นบัวบูชาก็ต้องรีบไปทำงานพาร์ทไทม์ที่คลีนิกใกล้บ้านในช่วงเย็น เธอใช้ชีวิตแบบนี้มาหลายปี เพราะหากไม่ขยันตัวเป็นเกลียวแบบนี้ เด็กหญิงกรวรรณหรือน้องกวาง บุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอต้องลำบากเช่นเธออย่างแน่นอน
“น้องกวาง วันนี้อยากทานอะไรคะ” บัวบูชากล่าวกับบุตรสาวขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งรถเมล์กลับมาที่บ้าน
“น้องกวางอยากกินซูชิค่ะคุณแม่” เด็กน้อยยิ้มแป้นเมื่อนึกถึงของโปรดร้านเดิมหน้าปากซอย
“เอ....ร้านซูชินี่อยู่ไหนนะคะ แม่จำไม่ได้เลย” บัวบูชาแสร้งเย้าบุตรสาวด้วยรอยยิ้ม
“ก็ที่หน้าปากซอยไงคะคุณแม่” เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาเอ่ยออกมาเสียงใส
“เหรอคะ แม่ไม่ยักรู้ว่าที่หน้าปากซอยเรามีร้านซูชิ” บัวบูชายังคงเย้าบุตรสาวด้วยความเอ็นดู
“คุณแม่แกล้งน้องกวางแน่เลยค่ะ คุณแม่รู้อยู่แล้ว” เด็กหญิงกรวรรณเริ่มรู้สึกว่ามารดากำลังแกล้งเธออยู่
“ตายล่ะ เดี๋ยวนี้แม่อำหนูไม่ได้แล้วสินะ น้องกวางของแม่กำลังโตเป็นสาวแล้ว”
บัวบูชาประคองกอดลูกน้อยด้วยความรัก เพราะลูกน้อยของเธอเป็นดังลมหายใจก็ไม่ปาน เธอทุ่มเทความรักทุกอย่างให้ เพื่อที่บุตรสาวจะได้ไม่รู้สึกว่าตนเองขาดอะไร แต่ถึงแม้เธอจะทุ่มเทให้เพียงใด ด้วยวัยที่เริ่มเจริญเติบโตขึ้นมาก็ทำให้บุตรสาวเอ่ยถามถึงบิดาอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งหญิงสาวก็ตอบได้เพียงว่าบิดาของเด็กน้อยนั้นอยู่บนฟ้า ถึงแม้ว่านี่จะเป็นคำโกหก ก็ยังดีกว่าให้เด็กหญิงกรวรรณรู้ว่าบิดาของเธอไร้ความรับผิดชอบ แล้วทิ้งทุกอย่างให้มารดาของเธอเผชิญปัญหาเพียงลำพัง
“ใช่ค่ะ หนูกำลังจะเป็นสาวแล้วค่ะ ถ้าหนูโตขึ้นคุณแม่ก็ไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้นะคะ น้องกวางจะทำงานเลี้ยงคุณแม่เองค่ะ” เด็กน้อยกล่าวออกมาทำให้ผู้เป็นมารดาน้ำตาไหลซึมด้วยความตื้นตันใจ บุตรสาวคนนี้คือความภูมิใจของเธออย่างที่สุด
“น้องกวางไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ค่ะ แค่น้องกวางโตขึ้นมาเป็นคนดี แค่นี้แม่ก็ภูมิใจในตัวหนูที่สุดแล้วลูก” บัวบูชาเสียงเครือ เธอรู้สึกมีความสุขเหลือเกินที่ได้เฝ้ามองพัฒนาการของบุตรสาว
“ไม่ค่ะ น้องกวางสงสารคุณแม่” เด็กน้อยยึดมั่นในความรู้สึกของตน ทำให้ผู้เป็นมารดาได้แต่ยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข