อยากรู้ไปทำไม

1368 Words
ตอนที่ 5 “งั้นผมขอถามเรื่องส่วนตัวเล็กน้อย ตามประวัติที่คุณเขียนเอาไว้ มันไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่” เขาเงยหน้าขึ้นจากการอ่านประวัติย่อ ๆ ของเธอในใบสมัคร “ได้ค่ะ” ณัฐชาตอบรับ แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่เจ้านายคนใหม่ ดูจะสนใจเรื่องส่วนตัวของเธอแทนเรื่องหน้าที่การงานอย่างที่มันควรจะเป็น “คุณไม่ต้องคิดมากหรอก ผมแค่อย่างสัมภาษณ์เรื่องทั่ว ๆ ไป เป็นการทำความรู้จักเฉย ๆ “ เขาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเธอ “ค่ะ” หญิงสาวตอบสั้น ๆ อย่างหนักแน่น “คุณมีลูกมาแล้วกี่คน” และคำถามแรกของเขาที่บอกว่าเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปก็ทำเอาเธอหน้าชา “คนเดียวค่ะ” เธอสบตากับเขาแล้วตอบอย่างมั่นใจ “อายุเท่าไหร่” “ปีนี้ เค้าอายุ 22 แล้วค่ะ” “ผู้ชายหรือว่าผู้หญิง” “ผู้ชายค่ะ” รามัญเลิกคิ้วสูงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับค้นพบสมบัติล้ำค่า ก่อนจะเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย แววตาของเขามีประกายบางอย่างที่ทำให้หัวใจของณัฐชาเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม “คุณอายุ 38 แต่ลูกชายคุณอายุ 22...เนี่ยนะ” รามัญ เลิกคิ้วสูงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตาคมกริบของเขาจ้องมองเธออย่างพิจารณา ราวกับไม่เชื่อในตัวเลขที่เห็นในใบสมัครงานของเธอ ณัฐชารู้สึกร้อนผ่าวขึ้นทันที ความรู้สึกเหมือนถูกละลาบละล้วงในเรื่องส่วนตัว พุ่งสูงขึ้นจนเกือบจะทำให้ควันออกหู แต่ในฐานะที่เธอกำลังถูกสัมภาษณ์งานอยู่จึงไม่กล้าแสดงอะไรออกมามากนัก ทว่า... เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นสบตา และได้เห็นรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าคมสันของเขา รอยยิ้มที่ไม่ได้ดูถูกหรือเหยียดหยาม แต่กลับเต็มไปด้วยเสน่ห์และความชื่นชมอย่างเปิดเผย... ความรู้สึกขุ่นเคืองที่ก่อตัวขึ้นก็ค่อย ๆ ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว “อายุห่างกันแค่นี้ คุณเป็นพี่สาวของลูกคุณเลยก็กว่าได้” รามัญกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ที่เน้นย้ำถึงความอิจฉาในความอ่อนเยาว์ของเธอ “ค่ะ คือตอนนั้น ฉันพลาดตั้งท้องในช่วงวัยเรียน” ณัฐชาตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้นิ่งที่สุดเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดพลาดในอดีต มันเป็นความจริงที่เธอไม่เคยคิดว่าจะต้องมาสารภาพกลางโต๊ะสัมภาษณ์งาน แต่สายตาที่พิจารณาและคาดคั้นของรามัญ ทำให้เธอตัดสินใจที่จะเปิดเผยทุกอย่างอย่างไม่ปิดบัง เธอเล่าถึงรักในวัยเรียนช่วงมัธยมปลาย ว่าเธอตั้งท้องกับรุ่นพี่คนหนึ่ง ซึ่งครอบครัวของเขาก็ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใด ๆ เลย ชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในวัยสิบหกปีต้องแบกรับชีวิตเล็ก ๆ ไว้เพียงลำพัง เธอต้องหยุดเรียนและเผชิญหน้ากับคำครหาของสังคม “ตอนนั้นดิฉันกับคุณแม่ช่วยกันเลี้ยงลูกชายคนนี้มาด้วยกันค่ะ” ณัฐชาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย “ดิฉันต้องทำงานทุกอย่าง เพื่อให้ลูกมีกิน จนกระทั่งลูกชายโตพอช่วยเหลือตัวเองได้ ฉันก็เลยมาเลย กศน. และเมื่อสองปีที่แล้วคุณแม่ก็เพิ่งมาเสียไป...” สีหน้าของเธอฉายแววของความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมานานหลายปี แต่แววตาที่มองตรงมายังรามัญกลับเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและภาคภูมิใจ และนั่นคือแววตาของผู้หญิงที่ผ่านพายุชีวิตมาอย่างโชกโชน รามัญมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเงียบงัน เขาไม่ได้มองเธอด้วยความสมเพช แต่ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เรื่องราวของณัฐชาทำให้รามัญย้อนนึกถึงอดีตของตนเอง เมื่อครั้งที่วิมลวรรณ ภรรยาของเขาตั้งท้อง แม้ว่าบิดามารดาจะไม่เห็นด้วย และกล่าวหาว่าวิมลวรรณตั้งใจจะจับเขา แต่รามัญก็ยืนกรานที่จะรับผิดชอบเธอกับลูกและอยู่กินกับเธออย่างเปิดเผย การตัดสินใจของณัฐชาในการแบกรับภาระชีวิตในวัยเยาว์จึงคล้าย ๆ กับชีวิตของเขาที่ผ่านมา รามัญมองเห็นความแข็งแกร่งในตัวของเธอ ซึ่งมันเป็นคุณสมบัติที่สำคัญกว่าใบปริญญาของเธอเสียอีก ความรับผิดชอบและความเด็ดเดี่ยวของเธอ... คือสิ่งที่เขารู้สึกประทับใจ รามัญพิงพนักเก้าอี้พลางสบตาณัฐชา ดวงตาคมกริบของเขามองเห็นด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง “ขอบคุณนะครับที่เล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง” รามัญเอ่ยขอบคุณเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ถึงแม้จะเป็นความผิดพลาด แต่คุณก็มีความกล้าหาญและรับผิดชอบ” “การที่คุณสามารถก้าวผ่านความยากลำบากเหล่านั้นมาได้ และยังสามารถเลี้ยงดูลูกชายให้เติบโต แถมยังสามารถส่งตัวเองเรียนจนมีความสามารถอย่างที่ผมเห็น... นั่นก็พิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่าคุณคือผู้หญิงที่มีความรับผิดชอบและเข้มแข็งอย่างแท้จริง ซึ่งความสามารถในการรับผิดชอบแบบนี้แหละครับ คือคุณสมบัติที่ผมต้องการ” รามัญยิ้มออกมาอย่างจริงใจ ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่สร้างความรู้สึกปลอดภัยให้แก่ณัฐชามากกว่าคำมั่นสัญญาทางธุรกิจใด ๆ “คุณยอดเยี่ยมมากครับ...คุณณัฐชา” เขากล่าวชมเธอหลังฟังจบ “มันเป็นบทเรียนที่ทำให้ฉันจดจำมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ” “ผมแปลกใจอยู่เรื่องเดียวครับ คุณดูเหมือนเป็นคุณแม่เลยสักนิด...คุณณัฐชา” คำพูดตรงไปตรงมาของรามัญ เป็นดั่งคำชมที่จริงใจที่สุดที่เธอเคยได้รับ มันปลดเปลื้องความรู้สึกผิดและตอกย้ำความพยายามในการดูแลตัวเองมาตลอดหลายปี ณัฐชารู้สึกได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้... แม้จะดูเย้ายวนและละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเธอ แต่เขาก็เป็นคนที่มีเสน่ห์อย่างที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน คำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อยกับการดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอมาตลอดหลายปี ไม่ว่าจะเป็นการเข้านอนแต่หัวค่ำ การเลือกรับประทานอาหารที่ดี และการออกกำลังกาย เพื่อรักษารูปร่างและผิวพรรณ ทั้งหมดนี้ได้ถูกตัดสินให้เป็นผลสำเร็จด้วยประโยคสั้น ๆ ของประธานหนุ่มสุดหล่อตรงหน้าเธอ “แล้วตอนนี้คุณได้แต่งงานใหม่หรือยังครับ” “ยังค่ะ” “หมายความว่าคุณยังโสด” “ค่ะ” ความสนใจของรามัญฉายชัดในแววตาทันที แต่ไม่ได้ทำให้ณัฐชารู้สึกอึดอัด เพราะรามัญยังคงให้เกียรติเธอ และไม่มีกิริยาที่ลุ่มล่ามแม้แต่น้อย แต่แรงดึงดูดที่เขาส่งออกมานั้น ก็หนักแน่นพอจะทำให้เธอรู้สึกว่าการสัมภาษณ์งานครั้งนี้ มันไม่ใช่แค่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว “ที่ผมถามว่าคุณโสดหรือเปล่า มันก็ไม่ใช่อะไรหรอก” “ผมต้องการเลขาฯ ที่จะออกไปทำงานต่างจังหวัดกับผมได้ และยิ่งรู้ว่าลูกชายของคุณโตแล้วก็ยิ่งดีเลย เพราะผมจะได้มั่นใจว่าคุณจะไม่มีภาระและกังวลเมื่อต้องเดินทาง” คำพูดนั้นทำให้ณัฐชาต้องย้ำถามอีกครั้ง “งานเลขาฯ ต้องออกจากจังหวัดด้วยเหรอคะ” “ที่อื่นผมไม่รู้นะ แต่ที่นี่มีแทบทุกเดือน เพราะทางบริษัทมีคอมมูนิตี้ มอลล์ อยู่ทั่วประเทศ” รามัญตอบทันที ดวงตาของเขาทอประกายแห่งความหวังบางอย่าง และมันก็ไม่พ้นที่เขาอยากครอบครองเธอ นานมาแล้วที่เขาไม่กล้าเปิดใจรับใครเข้ามา เพราะสงสารลูก แต่นี่พีรยาก็โตพอแล้ว มันถึงเวลาที่เขาควรจะได้คบหากับใครสักคนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “ผมต้องการคนที่ติดตามผมไปได้ทุกที่ และพร้อมทำงานได้ตลอดเวลา” ในใจของณัฐชาเหมือนมีเสียงเตือนในหัวดังขึ้น หนีเสือปะจระเข้หรือเปล่า...ยังคงเป็นคำถาม แต่เมื่อมองใบหน้าหล่อเหลาที่ดูสุภาพและเต็มไปด้วยเสน่ห์ของรามัญ เธอก็ตัดสินใจที่จะก้าวต่อไป เพราะเธอได้ออกจากงานเดิมมาแล้ว และยังไงเสีย...เขาก็ดูดีกว่าอดีตเจ้านายที่คิดจะหาโอกาสเคลมเธออยู่ร่ำไป และการเสี่ยงครั้งนี้...มันอาจจะคุ้มค่ากับความมั่นคงที่เธอจะได้มาก็เป็นได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD