“อ้าวคุณจักร ได้ของแล้วหรือคะ”
ป้านุ่มมองมือว่างเปล่าทั้งสองข้างของจักรทิพย์ด้วยความสงสัย ชายหนุ่มมีทีท่าอึกอักทำเอาป้านุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม
“คุณจักรคงอยากเจอหน้าคุณมนเธอกระมังคะ น่าเสียดายที่คลาดกัน”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ จะรีบกลับไปเคลียร์งานในไร่”
บอกแล้วเดินตัวปลิว ป้านุ่มมองตามแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มไปจนลับสายตา ใบหน้าที่มีร่องรอยผ่านร้อนผ่านหนาวมามากเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม
“น่าเห็นใจจริงๆ เพิ่งจะแต่งงานแท้ๆ คนหนึ่งต้องเข้าไปทำงานในไร่ ส่วนอีกคนก็ต้องไปดูร้านขนม แทนที่จะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน”
หวานละมุนเป็นร้านขนมเล็กๆ ที่อยู่เยื้องไปจากตัวบ้านสีขาวหม่นของมนตระการกับแพรใจราวๆ ห้าร้อยเมตร หญิงสาวเปิดร้านนี้ได้เดือนเศษ แม้รายได้จะไม่ได้มากมาย แต่มันก็ทำให้มนตระการมีเงินใช้สอยอย่างไม่ขัดสน มนตระการชื่นชอบการทำขนมโดยเฉพาะขนมไทย
“หวานละมุนยินดีต้อนรับค่ะ อ้าวภู มาได้ยังไง”
เมื่อเห็นหน้าภูวิศมนตระการก็วางของในมือไว้ที่เคาน์เตอร์ไม้ ในร้านหวานละมุนจะมีมุมเล็กๆ สำหรับนั่งรับประทานขนมในร้าน ร่างบางขยับเท้ามาหยุดตรงหน้าภูวิศเพื่อนสมัยมัธยมปลายที่แม้ว่าตอนมหาวิทยาลัยจะแยกย้ายกันเรียน แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยขาดการติดต่อ ยังคงติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ
“แค่ผ่านมาน่ะ”
ภูวิศเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างที่ดูฝืนธรรมชาติไปสักหน่อย มนตระการหรี่ตามองอย่างไม่ค่อยจะเชื่อในคำพูดของอีกฝ่ายสักเท่าไร
“แน่ใจนะว่าแค่ผ่านมา”
“ไม่”
คราวนี้ภูวิศหน้าเจื่อนก่อนจะเป็นฝ่ายเดินมานั่งที่โต๊ะมุมในสุดอย่างคุ้นเคย ชายหนุ่มเคยมาที่ร้านหวานละมุนอยู่บ่อยครั้ง มาตั้งแต่มนตระการเปิดร้านใหม่ๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่อีกฝ่ายคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“มนว่าแล้วเชียว” มนตระการแสร้งยู่หน้าแต่ก็ยอมนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม ก่อนจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาถามไถ่สารสุขทุกข์สุกดิบ “แล้วเป็นไงบ้าง ช่วงนี้สบายดีไหม”
“ดีสิ ช่วงนี้ภูแฮปปี้สุดๆ”
“ภูกำลังจะแต่งงานเหรอ”
“เปล่า เพิ่งอกหักมาน่ะ”
“ถามจริง”
คิ้วได้รูปที่พาดเหนือดวงตากลมโตของมนตระการถึงกับยกขึ้นสูง แววตาของหญิงสาวฉายแววตื่นตระหนกอยู่หลายส่วน
“จริง”
“ถึงว่า” พอเจ้าตัวยอมรับมาแบบนั้นมนตระการถึงกับยกมือขึ้นเท้าคาง ดวงตาคู่สวยมองภูวิศด้วยความเห็นใจ “อกหักทีไรขับรถมาไกลถึงต่างจังหวัดทุกที”
ครอบครัวของภูวิศทำธุรกิจร้านทองอยู่ที่กรุงเทพฯ และตัวของภูวิศเองหลังจากเรียนจบก็ช่วยดูแลกิจการของครอบครัว และทุกครั้งที่มีปัญหาชายหนุ่มก็จะขับรถออกมาต่างจังหวัด ซึ่งจังหวัดที่เขาเลือกก็คือจังหวัดลพบุรี เหตุผลง่ายๆ ก็คือเพราะมนตระการอยู่ที่นี่ เขาก็เลยมา
“กรุงเทพฯ มีแต่คนใจร้าย”
“ลืมไปหรือเปล่าภูว่าตัวเองก็เป็นคนกรุงเทพฯ”
“ตอนนี้ภูเป็นคนลพบุรี เพราะภูอยู่ลพบุรี ภูไม่ใช่คนกรุงเทพฯ อีกต่อไป”
“ให้จริง”
มนตระการเอ่ยด้วยเสียงหยอกเย้า บทสนทนาของทั้งคู่สิ้นสุดลงตรงนั้นเมื่อมีลูกค้าเข้ามาในร้าน มนตระการรีบขยับเท้าเข้าไปด้านในเคาน์เตอร์
“วันนี้รับอะไรดีคะ”
“ขนมชั้นสองกล่อง แล้วก็สังขยาสองกล่องค่ะ”
ลูกค้าที่แวะเวียนมาที่ร้านส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำมนตระการจึงคุ้นเคยเป็นอย่างดี หญิงสาวจัดขนมใส่กล่องด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
“ทั้งหมดหนึ่งร้อยบาทค่ะ” ลูกค้าส่งเงินให้มนตระการ หญิงสาวรับไว้แล้วหยิบเงินทอนในลิ้นชักส่งให้อีกฝ่าย “ขอบคุณมากนะคะ”
ลูกค้าออกไปแล้วมนตระการจึงเดินกลับมานั่งกับภูวิศที่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเท้าคางพลางทำหน้ามุ่ย หญิงสาวส่ายหน้าน้อยๆ ด้วยความอ่อนใจ
“ตกลงจะมาอยู่กี่วัน”
“สอง”
“สองวัน”
“สองอาทิตย์”
“ถามจริงนะภู”
“จริง”
เห็นภูวิศพยักหน้าจริงจังมนตระการก็ปฏิเสธไม่ได้ หญิงสาวถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เดี๋ยวภูนอนที่บ้านมนก็ได้นะ อยู่นานไม่ต้องเสียเงินไปเช่ารีสอร์ทหรอก”
ทุกครั้งที่ภูวิศแวะมาหาชายหนุ่มเลือกจะพักที่รีสอร์ทใกล้ๆ แทนการพักบ้านของมนตระการ ถึงจะเป็นเพื่อนกัน แต่เขาคิดว่าอาจจะทำให้มนตระการเสียหายในสายตาคนอื่น พวกเขาต่างรู้ดีว่าความสัมพันธ์เป็นอย่างไร แต่แน่นอนว่าคนอื่นไม่รู้ ภูวิศจึงไม่ปรารถนาให้เพื่อนสนิทของเขาถูกกล่าวถึงในทางที่ไม่ดี
“ไม่ดีมั้งมน”
“นอนได้เพราะมนไม่ได้นอนที่บ้าน อาแพรก็ค้างที่บ้านของลุงกริช บ้านไม่มีใครอยู่หรอก”
“อ้าว แล้วมนไปนอนที่ไหน”
คราวนี้ภูวิศยืดตัวเต็มความสูง ชายหนุ่มหรี่ตามองมนตระการด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
“คือ คือมนแต่งงานแล้วน่ะ เลยไม่ได้นอนที่นี่แล้ว ต้องไปนอนที่บ้านเขา”
ได้ยินแบบนั้นภูวิศก็แทบตกเก้าอี้ ดีที่เขาคว้าขอบโต๊ะเอาไว้ได้ทัน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะยืดตัวขึ้นเต็มความสูง
“จะจริงเหรอ ตะตั้งแต่เมื่อไร”
“เมื่อคืน”
มนตระการเอ่ยไม่เต็มเสียงนัก จู่ๆ ภาพเมื่อคืนระหว่างหญิงสาวกับจักรทิพย์ก็เด่นชัดขึ้นมาในห้วงความคิดทำเอาแก้มนิ่มร้อนผะผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พวงแก้มทั้งสองข้างแต้มสีเรื่ออย่างไม่รู้ตัว
“ภูงอนแล้วนะ แต่งงานทั้งทีทำไมไม่บอกกันเลย แล้วแอบไปคบกันตอนไหน ภูมาครั้งก่อนก็ไม่เห็นเลยว่ามนมีแฟน”
ภูวิศเอ่ยอย่างน้อยใจ โดยไม่รู้เลยว่าเหตุผลของการแต่งงานในครั้งนี้ทำให้อาการขวยเขินของมนตระการหายวับไปในทันที
“ไม่ได้คบกันหรอก แต่งงานกันเพราะความจำเป็นน่ะ”
ควันสีเทาจางลอยฟุ้งออกจากเตาหมูกะทะ มนตระการกับภูวิศเลือกที่จะสั่งหมูย่างมานั่งกินที่หน้าบ้าน ปูเสื่อแล้วนั่งบนเบาะนั่งแบบเรียบง่าย
“เรื่องแต่งงานพูดจริงใช่ไหม”
ภูวิศถามตอนที่ส่งหมูย่างชิ้นโตเข้าปาก มือที่กำลังจะคีบหมูย่างของมนตระการชะงัก หญิงสาวหลุบสายตาลงเล็กน้อยก่อนจะส่งหมูย่างชิ้นโตเข้าปากบ้าง
“จริง”
เห็นมนตระการเอ่ยเสียงอ่อยภูวิศก็ไม่คิดจะคาดคั้นต่อ เพราะสีหน้าของเจ้าตัวก็ดูลำบากใจไม่น้อยอยู่เหมือนกัน แต่ก็เอาเถอะมนตระการเป็นคนที่คิดอะไรค่อนข้างถี่ถ้วน เจ้าตัวคงไตร่ตรองดีแล้วถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น
“ถ้าวันไหนมนมีปัญหา ภูยังอยู่ที่เดิมนะ รู้ใช่ไหม”
“รู้ ขอบใจนะ”
ภูวิศตอบรับคำขอบคุณของมนตระการด้วยการไหวไหล่ ชายหนุ่มคีบหมูย่างด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย ท่าทางมีความสุขกับการกินของภูวิศทำให้มนตระการยิ้มตามไปด้วย ทั้งคู่เลือกที่จะปล่อยผ่านเรื่องการแต่งงานที่แสนจะเคร่งเครียดของมนตระการ เลือกที่จะพูดคุยเรื่องสัพเพเหระแทน