ตอนที่ 10

1243 Words
ธิญาดาสำลักควันไฟจนแสบคอไปหมด หญิงสาวน้ำตาไหลอาบแก้ม หลังจากพยายามวิ่งหาทางออกและร้องให้คนช่วยจนหมดแรง เท้าเปล่าเปลือยเต็มไปด้วยฝุ่น และคราบเขม่าผสมเลือดจากการเหยียบเศษแก้ว แต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด “คุณลุงขา คุณป้าขา พี่ปั้นขา เกรซขอโทษ เกรซคงไม่มีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณของทุกคนแล้ว พ่อขา แม่ขา ช่วยเกรซด้วย” ธิญาดาทรุดกายลงกับพื้นและไอสำลักควันจนแทบหายใจไม่ออก หญิงสาวกระถดกายหนีความร้อนจากเปลวเพลิงที่ลุกไหม้รุนแรงจากทุกทิศทาง หญิงสาวหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ที่ไฟยังลามมาไม่ถึง แต่กระไอความร้อนก็ทำให้เธอแสบผิวไปหมด โครม!!!เสียงโครงสร้างหลังคาถล่มลงมาอย่างดังจนเธอสะดุ้ง น้ำตาแห่งความกลัวไหลพราก “ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที เกรซอยู่ตรงนี้” ธิญาดาพยายามเพ่งสายตาฝ่ากลุ่มควันและเปลวไฟออกไป หวังว่าจะมีเจ้าหน้าที่สักคนโผล่เข้ามาแต่ก็ไร้วี่แวว “ช่วย…ด้วย…ชะ…ช่วยด้วย” ท่ามกลางสติอันเรือนลาง เธอได้ยินเสียงวัตถุบางอย่างกระแทกกับกระจกจนแตกกระจาย ตามมาด้วยเสียงตะโกนที่เธอได้ยินราวกับอยู่ไกลแสนไกล “เกรซ คุณอยู่ไหน” “ยังมีใครอยู่ในนี้ไหมครับ ส่งเสียงหน่อย หน่วยกู้ภัยมาแล้ว” “ชะ…ช่วยด้วย” ก่อนที่สติจะดับวูบไป ธิญาดารู้สึกได้ว่ามีใครบางคนวิ่งมาประคองเธอขึ้นจากพื้น ใครกันนะ แต่กลิ่นน้ำหอมนี้ช่างคุ้นเหลือเกิน “เกรซ ได้ยินผมไหม ผมมาช่วยแล้ว เกรซ” ธิญาดาพยายามปรือตาขึ้นมองแต่ก็ทำไม่ได้ สำนึกสุดท้ายเธอได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนขึ้นมา “คุณระวัง” พีรดนย์หันไปมองตามเสียงเตือนก็พบว่ามีเศษเหล็กอันหนึ่งกำลังร่วงหล่นลงมา เขารีบก้มลงกอดธิญาดาแล้วใช้ร่างกายของตัวเองบังเธอเอาไว้ “อ๊าก” พีรดนย์ร้องออกมาด้วยความเจ็บ เมื่อเศษเหล็กท่อนนั้นหล่นกระแทกกับแขนข้างขวาอย่างจัง แต่ถึงกระนั้นก็พยายามกัดฟันจะอุ้มคนในอ้อมกอดออกไปด้านนอก “คุณครับ ให้เจ้าหน้าที่ช่วยเถอะ คุณแขนเจ็บคงอุ้มเธอไปไม่ไหวหรอก ขืนชักช้าพวกเราจะเป็นอันตราย” เจ้าหน้าที่กู้ภัยและดับเพลิงรีบเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ก่อนที่จะรีบเคลื่อนย้ายธิญาดาออกไป “ไอ้ดล มึงบ้าหรือไงวะ” ก้องเกียรติเข้าไปขย้ำคอเสื้อของเพื่อนด้วยอารมณ์ทั้งโกรธและเป็นห่วง เมื่อพีรดนย์มาถึงก็ไม่ฟังอะไรรีบบุกฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปด้านในทันที “เกรซ เกรซ เกรซรอดแล้ว” “ขอบคุณค่ะ ขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่ช่วยเกรซออกมาได้” ยุพเรศและชนาภาปล่อยโฮพร้อมทั้งยกมือไหว้เจ้าหน้าที่และพีรดนย์ที่พาธิญาดาออกมาได้ “เกรซ เกรซ เป็นไงบ้าง ได้ยินพวกเราไหม” “เธอสำลักควันจนหมดสติ เราต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล ขอทางด้วยค่ะ” เจ้าหน้าที่กู้ภัยบอกขณะรีบเข็นเตียงของธิญาดาขึ้นไปบนรถ ชนาภาและยุพเรศกระโดดตามขึ้นไปโดยไม่รอช้า ในสภาพมอมแมมจากฝุ่นและควันไฟไม่ต่างกัน “คุณก็ต้องไปโรงพยาบาลด้วยนะคะ ท่อนเหล็กที่ร่วงใส่แขนคุณ อาจจะทำให้กระดูกหักได้” “ครับ เดี๋ยวผมไปเองได้ คุณเจ้าหน้าที่ไปดูแลคนอื่นได้เลยครับ ขอบคุณมากครับ” เมื่อเจ้าหน้าที่เดินห่างออกไปก้องเกียรติก็ไม่รอช้า “มึงเป็นบ้าอะไรวะไอ้ดล มึงฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปในนั้นได้ยังไง” “มึงจะตะโกนทำไมวะไอ้ก้อง กูก็ยืนอยู่แค่นี้” “กูตะโกนเรียกสติมึงไง เกือบเป็นผีเฝ้าที่นี่แล้วไหมล่ะ” “แต่กูก็ไม่ได้เป็นนี่ รอดปลอดภัยกลับมาครอบสามสิบสอง โอ๊ย…” พีรดนย์เผลอขยับแขน จากตอนแรกที่มีอาการชาตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงความปวดที่เริ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ “รีบไปโรงพยาบาลเลยมึง” “แล้วมึงล่ะ ลูกค้ามึงเป็นยังไงบ้าง” “ปลอดภัยดี กูให้ลูกน้องไปส่งกลับโรงแรมแล้ว เพราะกูบอกเขาว่าเพื่อนกูติดอยู่ในนั้น ไปโรงพยบาลเถอะเดี๋ยวกูไปส่ง” “เออ ขอบใจ” เมื่อขึ้นมาบนรถ ก้องเกียรติก็ไม่รอช้าที่จะซักฟอกเพื่อนสนิทที่ทำตัวเป็นฮีโร่ เสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง “กูถามจริงๆ นะ มึงทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรวะ มึงเสี่ยงชีวิตเพื่อเข้าไปช่วยผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันในเปลวเพลิงเนี่ยนะ มึงอยากเป็นฮีโร่ในสายตาสาว ขนาดยอมเสี่ยงชีวิตเลยเหรอ” “บอกตรงๆ นะ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” “อ้าว ไอ้เวร” “กูรู้แต่ว่ากูต้องช่วยเขา รู้ตัวอีกทีกูก็เข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว” “เวรกรรม” “เจ็บตัวขนาดนี้ก็หวังว่าเขาจะเห็นใจยอมคุยกับมึงนะ บอกตรงๆ กูไม่เข้าใจเหมือนกัน วันนั้นเขาอ่อยมึงก่อนแท้ๆ แต่ไหงตอนนี้เฉยชาไม่ยอมพบไม่ยอมคุยวะ กลับกลายเป็นมึงที่งุ่นง่านเป็นหมาบ้าแค่เขาไม่คุยด้วย” “เออน่า กูเชื่อว่าเหตุการณ์วันนี้จะทำให้เขายอมคุยกับกู” “กูล่ะเชื่อมึงจริงๆ” “มึงไม่คิดว่ากูอยากเป็นพลเมืองดีช่วยชีวิตคนเฉยๆ บ้างเลยเหรอ” “ประทานโทษนะครับคุณพีรดนย์ อย่างคุณยังห่างไกลคำว่าพลเมืองดีอีกมาก ทำดีหวังผลล่ะสิไม่ว่า กูว่าคุณคนสวยคงไม่รอดเงื้อมือมึงแล้วล่ะ ถ้ามึงจะทุ่มทุนสร้างขนาดนี้” “กูก็ไม่คิดจะปล่อยให้รอดอยู่แล้ว พอดีก่อนหน้านี้ที่บ้านกูมีเรื่องยุ่งๆ หรอก กูเลยยังไม่ได้ลงมือทำอะไร มึงก็รู้นี่ว่าคนอย่างกู ถ้าอยากได้อะไรไม่เคยพลาด” “เออ สันดานอย่างมึงไม่ต้องบอกก็รู้” พูดได้แค่นั้นพีรดนย์ก็ต้องวุ่นกับการรับสายโทรศัพท์ จากครอบครัวที่เพิ่งเห็นข่าวว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่ติดอยู่ในผับที่กำลังไฟไหม้ เพียงแค่รับสายก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของมารดาดังนำมาก่อนจนเขาต้องรีบปลอบท่านเป็นการใหญ่ หลังจากนั้นก็เป็นเพื่อนสนิทอย่างศิระและต้นกล้าที่ต่างตกใจเช่นกัน แต่เมื่อได้รู้สาเหตุว่าเขากลายเป็นผู้ประสบภัยไปได้อย่างไร ก็ต่างสรรเสริญจนเขาฟังแทบไม่ทัน “ไง ไอ้พวกนั้นก็คิดเหมือนกูไหมล่ะ” “เออ ด่าจนหูกูแทบไม่มีใส่ ขนาดไอ้โซ่ที่เงียบๆ มันยังด่ากูซะหูชา” “ก็น่าด่าหรอก การกระทำสิ้นคิดมาก ลุยเพลิงเพื่อช่วยสาวหวังให้เขาประทับใจ เพื่อจะฟันเขาทีหลัง” “ไอ้ก้อง พูดอะไรให้เกียรติกูด้วย” “หรือที่กูพูดมันไม่จริง เซ็กซี่ขนาดนั้น อย่าบอกนะว่ามึงไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเขา” “เปล่า เปล่าคิดน้อย” “นั่นไง ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ มองตามึงก็รู้ไปถึงตับไตไส้พุง” “แหม สายตามึงนี่น่าเรียนหมอ ผ่าตัดคงง่ายดายมาก” “กวนตีน”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD