บทที่ 3 ครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ

1626 Words
ณ หอในของมหาวิทยาลัย ที่ห้องน้ำในหอพักช่วงหัวค่ำ ~ซ่า ซ่า~ เสียงสายน้ำกระทบกับกระเบื้องเป็นจังหวะสม่ำเสมอ หยดน้ำอุ่นไหลผ่านแผ่นหลังขาวเนียนของหญิงสาวตัวเล็กที่ยืนหลับตา ปล่อยให้มันไหลล้างทั้งคราบเหงื่อและความเหนื่อยล้าของวัน มือเรียวค่อย ๆ ยกขึ้นแตะไหล่ตัวเองเบา ๆ ก่อนจะลูบผ่านลำคออย่างแผ่วเบา ราวกับอยากปลอบโยนตัวเองในความเงียบนี้ “ฮึ่ก…” เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาเบา ๆ แม้เธอพยายามกลั้น ทว่าเสียงในใจมันกลับดังอย่างชัดเจนโดยไม่อาจห้ามได้ ’ทั้งหมดนี้…มันเป็นเพราะฉันใช่ไหม?‘ ภาพในหัวเริ่มไหลย้อนกลับทีละฉาก ภาพพี่สาวฝาแฝดที่ยิ้มเสมอ ไม่ว่าจะโดนเปรียบเทียบแค่ไหน ภาพแม่ที่เคยหัวเราะกับเธอในครัว…ที่ตอนหลังกลายเป็นคนซึมเศร้า และจากไปอย่างเงียบงัน ภาพพ่อที่เคยเข้มแข็ง กลับต้องนอนนิ่งไม่ไหวติงบนเตียงโรงพยาบาล และ…ภาพของเวธัสที่มองเธอด้วยสายตาเย็นชา ราวกับเธอเป็นคนฆ่าทุกคนไปทีละคน ขวัญข้าวพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง ในขณะที่ยืนพิงผนังห้องน้ำอย่างหมดแรง “ถ้าตอนนั้นฉันไม่วิ่งออกมา…ข้าวก็คงไม่ต้องตาย…” “ถ้าแม่ไม่ต้องเสียลูกที่ดีไปก่อน…แม่ก็คงไม่ตรอมใจตาย…” “ถ้าพ่อไม่เสียสติจากความสูญเสีย…เขาคงไม่พา ‘คนแบบนั้น’ เข้ามาในบ้าน…” เธอกัดริมฝีปากแน่น สายตาจ้องฝ้าอาบน้ำราวกับจะมองทะลุออกไปข้างนอก น้ำตาผสมกับสายน้ำไหลลงจากแก้มโดยไม่อาจแยกออกว่าอะไรคือน้ำจากหัวใจ และอะไรคือน้ำจากฝักบัว “ทุกอย่างพังเพราะฉัน…หรือเปล่า…” เสียงสะอื้นเริ่มชัดเจนขึ้น เธอยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงไว้ “ข้าว…คุณแม่…คุณพ่อ…ฉันขอโทษนะ ฉันมันอ่อนแอเกินไป…” เธอทรุดตัวลงนั่งที่พื้นห้องน้ำ สวมกอดตัวเองแน่นเหมือนคนหลงทางที่หมดสิ้นเรี่ยวแรง เงาสะท้อนบนแผ่นกระเบื้องพื้นเผยให้เห็นหญิงสาวที่แตกสลายจากภายใน “และแม้แต่วันนี้…” “ฉันก็ยังถูกเกลียดจากคนที่ฉัน…เคยรักมากที่สุด...พี่เวย์” ~ก็อก ๆ~ จู่ ๆ เสียงเคาะประตูห้องน้ำเบา ๆ ดังขึ้น โมเมที่อยู่ในห้องนอนถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย “ขวัญ… แกโอเคไหมอะ?” เสียงของโมเมไม่ดัง แต่ก็ไม่ได้เบาจนฟังไม่รู้เรื่อง มันแฝงความกังวลปนอยู่ชัดเจน ขวัญข้าวสะดุ้งเล็กน้อย มือเล็กรีบยกขึ้นมาปาดน้ำตาอย่างลวก ๆ น้ำที่ไหลมาจากหัวฝักบัวยังไม่ทันหยุด เธอก็พยายามสูดหายใจลึก ๆ เพื่อกลบเสียงสะอื้นที่ยังค้างอยู่ในลำคอ พยายามฝืนตอบกลับเพื่อนสนิทให้เสียงเป็นปกติที่สุด “อะ…อืม ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันอาบแป๊บเดียวก็ออกไปแล้ว” เธอเอื้อมมือไปคว้าผ้าขนหนูมาพันรอบตัว พยายามตั้งสติให้เรียบร้อยก่อนจะปิดฝักบัว แล้วเปิดประตูห้องน้ำออกไปอย่างเงียบ ๆ โมเมยืนรออยู่ตรงหน้าห้องน้ำ สายตาคมแต่แฝงความอ่อนโยนกวาดมองเพื่อนรักจากหัวจรดเท้า พลันสบตากับแววตาที่แดงก่ำของขวัญ เธอก็ขมวดคิ้วทันที โมเมเสียงอ่อนลง “แกไม่โอเคเลยว่ะขวัญ… แกคิดว่าฉันจะดูไม่ออกเหรอ?” ขวัญข้าวหลบตา พยายามยิ้มกลบเกลื่อน “ฉันแค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ… คงเพราะกิจกรรมรับน้องแหละ วิ่งตั้งเยอะ” โมเมเดินเข้าไปใกล้ แล้ววางมือบนไหล่ขวัญข้าวเบา ๆ “ไม่ใช่แค่เหนื่อยหรอก ฉันอยู่กับแกมาตั้งแต่ ม.ต้นนะ ขวัญข้าวที่ยิ้มตาแป๋วแบบนั้นน่ะ มันแกล้งยิ้มชัด ๆ” ขวัญข้าวหลุบตาลง ยิ้มจาง ๆ ยังไม่ยอมพูดอะไร โมเมจึงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ “แกไม่ต้องฝืนก็ได้ ฉันไม่รู้ว่าแกแบกอะไรไว้ในใจบ้าง…แต่ถ้ามันหนักจนจะล้มเมื่อไหร่ ก็ให้ฉันช่วยแบกบ้าง เข้าใจไหม?” เรียวปากสีหวานพูดเสียงสั่นเล็ก ๆ “ฉันไม่ได้อยากให้ใครต้องมาเป็นห่วง…” “แต่ฉันอยากเป็นห่วง… ไม่ใช่เพราะสงสารนะ แต่เพราะแกคือเพื่อนรักของฉันไงขวัญ เวลาฉันเจ็บ แกก็อยู่ข้างฉันเสมอ แล้วตอนนี้ ทำไมถึงคิดว่าตัวเองต้องอยู่คนเดียว?” ขวัญข้าวเงียบไปสักพัก ก่อนที่เสียงสะอื้นแผ่วเบาจะเล็ดลอดออกมา เธอพึมพำอย่างแผ่วเบา “บางทีมันก็รู้สึกเหมือน…แค่ฉันหายไป ทุกคนก็คงมีความสุขมากกว่านี้…” โมเมน้ำเสียงเด็ดขาด “อย่าพูดแบบนั้นอีกนะเว้ยขวัญ!” เธอกอดเพื่อนรักแน่นแบบไม่ให้ปฏิเสธใด ๆ ได้อีก ก่อนจะกระซิบข้างหูคนตัวเล็ก “แกไม่รู้หรอก…ว่าคนที่ได้อยู่กับแก รู้สึกโชคดีแค่ไหน เพราะถึงโลกนี้จะใจร้ายกับแกยังไง แต่แกไม่เคยใจร้ายกับใครเลย อย่างเช่นกับฉัน ตอนมอต้น แกจำได้ไหมที่บ้านฉันมีปัญหา แกเอาเงินเก็บของแกมาช่วยฉัน ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ ว่าจะได้คืนไหม ที่บ้านฉันจะได้คืนแกหรือเปล่า แกไม่เคยทัก ไม่เคยทวง แกดีกับฉันจริง ๆ ขวัญ” “แกยังจำได้เหรอเม” ขวัญข้าวยิ้มจาง ๆ วันนี้โชคดีอย่างหนึ่งที่มีคนอยู่ข้าง ๆ อย่างโมเม “แหม คนสำคัญใครจะจำไม่ได้ เอาละ แกไปแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวจะดึก” “โอเค” เจ้าของใบหน้าสวยตอบพลางพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นเดินไปยังตู้เสื้อผ้า หลังจากที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว มือบางหยิบกระเป๋าสะพาย เตรียมออกจากห้องพัก “เม เดี๋ยวฉันจะไปโรงพยาบาล ไปเยี่ยมพ่อนิดนึงนะ” “ไปคนเดียวไหวแน่นะ? ให้ฉันไปด้วยไหม?” ขวัญข้าวยิ้มบาง ๆ ส่ายหน้า “ไม่เป็นไร แกพักเถอะ วันนี้เหนื่อยกันทั้งวันแล้ว ฉันแค่ไปเยี่ยมแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับ” ณ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ขวัญข้าวเดินตามทางเดินสีขาวสะอาดเงียบ ๆ จนมาหยุดหน้าห้องผู้ป่วยที่มีป้ายชื่อว่า ‘คุณวินัย ธารานี ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก’ เธอกำลังจะหมุนลูกบิดเข้าไป แต่เสียงหัวเราะคิกคักของผู้หญิงคนหนึ่งกับเสียงผู้ชายหนุ่มก็ดังออกมาจากในห้องซะก่อน หญิงสาวเสียงสูง หัวเราะเบา ๆ “โอ๊ยย เดี๋ยว ๆ ลูกนี่นะ มาโรงพยาบาลแท้ ๆ ยังจะเล่นซนไม่เลิก” เสียงชายหนุ่มหัวเราะทะเล้น “ก็แม่สวยอะ พอเห็นแม่ยิ้ม ผมก็อดไม่ได้” ขวัญข้าวชะงักไปทันที ใบหน้าเธอเย็นลง ก่อนผลักประตูเข้าไปช้า ๆ จากนั้นแม่เลี้ยงนางวรรณีเงยหน้าขึ้น ยิ้มจาง ๆ “อ้าว หนูขวัญ มาแล้วเหรอลูก?” น้ำเสียงหญิงตรงหน้านุ่มแต่ฟังแล้วรู้สึกถึงความจงใจและการเล่นบทแม่พระปลอม ๆ ขวัญข้าวยกมือไหว้เบา ๆ ก่อนกวาดสายตาไปที่เตียงพ่อ แล้วเลื่อนไปมอง ไบรอันลูกชายติดแม่เลี้ยงที่กำลังเอนหลังพิงโซฟา ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ ขวัญข้าวพูดเสียงเรียบ “ฉันแวะมาเยี่ยมคุณพ่อค่ะ อาการวันนี้เป็นยังไงบ้างคะ?” “ก็…ไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่ หมอบอกว่าต้องรักษาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ… แต่ลูกก็รู้ใช่ไหม ว่าค่าใช้จ่ายมันเยอะมากขึ้นทุกวัน” ขวัญข้าวพยักหน้า กำมือแน่น เธอรู้ดีว่าตอนนี้เธอเป็นคนเดียวที่ยังหางานพิเศษ ส่งเงินค่าโรงพยาบาลมาทุกเดือน เพราะเงินเก่าของบ้านแทบจะไม่พอใช้ ส่วนไบรอันพูดเสียงกรุ้มกริ่ม “จริงสิขวัญ… ถ้าน้องเหนื่อยมาก พี่ก็มีวิธีช่วยอยู่นะ” ขวัญข้าวเงยหน้าขึ้น มองอีกฝ่ายนิ่ง ๆ อย่างรู้ทัน “ฉันไม่สนใจข้อเสนอของนาย ไบรอัน… และก็ไม่อยากให้มาพูดเรื่องแบบนี้ในห้องพ่อฉันด้วย” ไบรอันยักไหล่ ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็แค่หวังดีนะครับ อย่าคิดมากเลย พี่น่ะ…แค่เป็นห่วง อยากให้ขวัญมีชีวิตสบายขึ้น ไม่ต้องดิ้นรนทุกวันแบบนี้น่ะสิ” แม่เลี้ยงรีบหัวเราะกลบเกลื่อน “ไบรอันพูดเล่นน่ะลูก อย่าใส่ใจเลย… แต่เอาเข้าจริง แม่ก็อยากให้เรารักกันเหมือนครอบครัวจริง ๆ นะ พ่อขวัญก็คงดีใจ ถ้าเห็นพวกเราสนิทกันมากกว่านี้” คนตัวเล็กหน้านิ่ง พูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “ครอบครัวเหรอคะ? ถ้าคุณหมายถึงครอบครัวที่ดูดเงินพ่อจนหมด แล้วตอนนี้พ่อกลายเป็นอัมพาตนอนอยู่ตรงนี้ ฉันคงต้องขอบายจากความสนิทแบบนั้นค่ะ” แม่เลี้ยงชะงัก ยิ้มเริ่มฝืน ๆ ไบรอันลุกขึ้น เดินเข้ามาใกล้ ๆ เหมือนจะหาเรื่อง ขวัญข้าวไม่ถอย กลับมองเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน จากนั้นขวัญข้าวพูดเสียงนิ่งแต่กดดัน “ถ้าอยากอยู่ดี ๆ กัน ก็ถอยออกไปจากชีวิตฉันเงียบ ๆ อย่าล้ำเส้น และอย่าแตะต้องเงินที่ฉันส่งมาเพื่อพ่อแม้แต่บาทเดียว” แม่เลี้ยงเสียงเริ่มแข็ง “หนูขวัญ! พูดแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ!?” เรียวปากสีหวานตอบกลับด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ไม่เกินไปค่ะ ถ้าเทียบกับสิ่งที่คุณทำกับครอบครัวฉันมา” ขวัญข้าวหันไปสบตาพ่อที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง สีหน้าของเธออ่อนลงเพียงนิดเดียว ก่อนจะเดินไปจับมือพ่อเบา ๆ ขวัญข้าวเสียงสั่นเล็กน้อย “พ่อคะ… รีบ ๆ หายนะคะ ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD