ริณเรณูมองโทรศัพท์ด้วยสายตาที่เริ่มหมดหวัง เด็กสาวไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวแบบนี้มาก่อนเลย เธอรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบใหญ่ ไม่มีใครอยู่เคียงและคอยให้คำปรึกษาตั้งแต่เกิดมาเธอก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย แม้จะมีแค่มารดาที่เลี้ยงดูมาตลอดสิบหกปีแต่มารดาก็คอยอยู่ข้างๆ และคอยให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่องแต่ตอนนี้เธอไม่สามารถปรึกษามารดาได้เลย
เธอเช็ดน้ำตาแล้วเอื้อมปิดไฟที่หัวเตียงแล้วหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้าแต่ยังไม่ทันหลับโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ก็ส่งเสียงขึ้นมาเสีย ก่อนสายที่โทรเข้ามาทำให้เด็กสาวรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เธอรีบกดรับทันที
“สวัสดีค่ะอาราม”
“สวัสดีจ๊ะ โทรหาอาดึกเลยหนูมีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ หนูโทรมารบกวนอาไหมคะ”
“ไม่หรอก อาขอโทษทีนะพอดีตอนที่หนูโทรมาอาทานข้าวกับลูกค้ามาก็เลยไม่ได้รับโทรศัพท์ หนูมีเรื่องด่วนใช่ไหม”
“ไม่ด่วนค่ะแต่หนูมีเรื่องไม่สบายใจ อารามมีเวลาไหมคะ”
“มีสิ ไม่สบายใจอะไรเล่าให้อาฟังได้เลยนะ” รามัญฟังจากนำเสียงก็พอจะรู้ว่าคนปลายสายคงไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
“วันนี้หนูไปเยี่ยมแม่ แต่แม่ดูเหนื่อยมากกว่าทุกวัน หนูกลัวว่าแม่จะสู้ต่อไปอีกไม่ไหว”
“พ่อหนูโทรหาหรือยัง”
“หนูไม่มีพ่อหรอกค่ะอาราม หนูไม่เหลือใครแล้ว” เด็กสาวพูดด้วยอารมณ์น้อยใจเพราะสิ่งที่ตนเองได้ยินจากคุณนครินทร์นั้นมันเหมือนกับฟางเส้นสุดท้ายระหว่างเธอกับบิดาที่มันขาดลงไปแล้ว
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ อาให้เบอร์โทรคุณใหญ่ไปแล้วนะ เขาน่าจะโทรหาหนูสิหรือหนูจะเป็นคนโทรหาเขาเอง เดี๋ยวอาจะส่งเบอร์โทรให้ทางไลน์ดีไหม”
“อย่าเลยค่ะอาราม คุณนครินทร์เขาลืมแม่ไปแล้ว”
“หนูบอกว่าเขายังไม่ได้โทรหาหนู แล้วทำไมหนูถึงบอกว่าเขาลืมแม่ไปแล้วล่ะ” รามัญแปลกใจเพราะตอนนี้ริณเรณูไม่ได้เรียกคุณนครินทร์ว่าพ่อเหมือนเคย
“จริงๆ แล้วคุณนครินทร์เขาก็โทรหาหนูค่ะ แต่พอหนูรับสายเขาก็ไม่ได้พูดอะไร หนูได้ยินเสียงเขาคุยกับภรรยาของเขา มันเลยทำให้หนูรู้ว่าคุณนครินทร์ไม่เคยรักแม่ไม่เคยจริงใจกับแม่ตั้งแต่แรกค่ะ”
“เป็นแบบนั้นได้ยังไงเพราะตอนที่อาไปบอกคุณใหญ่ว่าหนูเป็นลูกอีกคนหนึ่งคุณใหญ่ก็ดูท่าทางดีใจและเป็นห่วงหนูมากเลยนะ”
“เขาก็แค่แสดงค่ะ แต่ลับหลังเขาพูดถึงแม่ไม่ดีเลย คำพูดที่เขาพูดกับผู้หญิงที่ชื่อศิตามันเป็นคำพูดที่ไม่น่าจะหลุดออกมาจากปากของคนที่แม่รักอย่างสุดหัวใจ ต่อไปนี้หนูจะไม่พูดถึงเขาไม่คิดถึงเขาอีกค่ะ เขาจะมาเยี่ยมแม่หรือเปล่าหนูก็ไม่สนใจแล้วเพราะตอนนี้หนูสนใจแค่อาการของแม่ หนูอยากให้แม่อยู่กับหนูได้นานที่สุด”
หญิงสาวพูดด้วยเสียงสั่นการได้ระบายความรู้สึกออกมาให้ใครสักคนฟังมันทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น แต่คำพูดที่ได้ยินจากปากของคุณนครินทร์มันก็ยังก้องอยู่ในหัวและยากที่จะสลัดออก
“อาว่ามันต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่เลยนะ”
“อารามไม่ต้องมาแก้ตัวแทนคุณนครินทร์หรอกค่ะ ถ้าหากมันเป็นการเข้าใจผิดกันจริงๆ เขาก็น่าจะโทรมาบอกหนูตั้งแต่วันนั้นไม่น่าจะปล่อยเวลาให้ผ่านมานานหลายวันแบบนี้หรอกค่ะ บางทีที่เขารับโทรศัพท์หนูและพูดแบบนั้นกับผู้หญิงที่ชื่อศิตาอาจจะเป็นสิ่งที่เขาอยากจะบอกกับหนูและแม่แต่เขาไม่กล้าพูดตรงๆ ก็ได้ค่ะ”
“อาอยากรู้ว่าคุณใหญ่เขาพูดอะไรบ้าง”
“หนูจะส่งคลิปที่หนูอัดไว้ให้อาฟังนะคะ แต่อาไม่ต้องบอกเขาหรอกค่ะว่าหนูรู้ว่าเขาพูดว่าอะไรบ้าง เพราะบอกไปมันก็ไม่น่าจะเกิดประโยชน์อะไร”
“อารู้ว่าตอนนี้หนูกำลังเสียใจทั้งเรื่องแม่เรื่องพ่อและอาก็อยู่ไกลเกินกว่าจะไปปลอบใจหนูได้”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ที่หนูโทรหาอาวันนี้ก็แค่อยากจะหาใครสักด้วย อันที่จริงหนูไม่น่าจะรบกวนอารามด้วยซ้ำ แต่บังเอิญว่าวันนี้พลอยเขามีปัญหาหนูก็เลยไม่อยากเอาปัญหาของตัวเองไปเพิ่มให้เพื่อนค่ะ ตอนนี้หนูรู้สึกสบายใจขึ้นมากแล้วขอบคุณอารามนะคะที่โทรกลับมา ถึงแม้อาจะไม่ใช่ญาติพี่น้องและเราเพิ่งเคยเจอกันครั้งเดียวก็มีน้ำใจมากกว่าคนที่หนูเคยเรียกเขาว่าพ่อ หนูขอบคุณมากๆ ค่ะ คืนนี้ดึกมากแล้วหนูไม่รบกวนแล้วค่ะ อาจะได้พักผ่อน”
“หนูอยู่คนเดียวได้แน่”
“หนูเลือกที่จะไม่อยู่คนเดียวได้ด้วยเหรอคะ แต่อาไม่ต้องห่วงค่ะหนูจะเข้มแข็งและจะไม่อ่อนแอให้แม่เห็นหนูกลัวไม่เป็นทุกข์”
“แต่หนูอ่อนแอให้อาเห็นได้ มีอะไรก็โทรปรึกษาตาได้ตลอด ถ้าว่างอาจะหาโอกาสไปเยี่ยมหนูกับแม่นะ”
“หนูเกรงใจค่ะ แค่อาโทรหาหนูก็ซึ้งน้ำใจมากๆ แล้ว”
“คืนนี้มันก็ดึกแล้วหนูไปพักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้หนูจะไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“อาอยากให้หนูไปเจอแม่ไปทำหน้าที่ลูกที่ดี อย่าให้คุณแม่ เห็นว่าหนูร้องไห้อารู้ว่ามันเป็นเรื่องยากแต่อาคิดว่าหนูน่าจะทำได้”
“ค่ะหนูจะไม่ร้องไห้ให้แม่เห็นหนูจะต้องเข้มแข็ง แม่จะได้ไม่เป็นห่วง”
“อาเชื่อว่าหนูจะต้องทำได้เพราะหนูเป็นคนเก่ง”
“ขอบคุณนะคะที่ให้กำลังใจ หนูคงต้องวางสายแล้วจริงๆ ใช่ไหม” เด็กสาวอยากจะคุยกับเขาต่อแต่ก็รู้สึกเกรงใจมากเพราะเวลานี้มันเป็นเวลาที่ทุกคนควรจะพักผ่อน
“ใช่คืนนี้มันดึกแล้ว หนูควรจะต้องพักผ่อนและพรุ่งนี้จะได้ตื่นไปหาคุณแม่ด้วยสีหน้าที่สดใสนะ อย่าลืมว่าโทรหาได้ตลอดถ้าอาไม่รับสายก็แสดงว่าอาไม่ว่างและถ้าอาทำธุระเสร็จอาจะรีบโทรกลับหาหนูทันที”
“ค่ะอาราม” หญิงสาวรู้สึกอุ่นใจมากๆ กับคำพูดของรามัญ
ริณเรณูวางสายจากรามัญแล้วก็ส่งคลิปเสียงให้เขาก่อนจะหลับลงไปอย่างง่ายดายและตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้า
เธอรีบจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จแล้วขี่จักรยานยนต์ไปที่โรงพยาบาลทันที เมื่อไปถึงมารดาของเธอก็ยิ้มให้แม้จะเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนแรงอิดโรยแต่เธอก็ดีใจที่ยังเห็นรอยยิ้มของท่าน
“รีบมาหาแม่แต่เช้าเลย วันหยุดแทนที่จะตื่นสายๆ”
“หนูตื่นเช้าจนชินแล้วค่ะแม่ คุณหมอมาตรวจมาหรือยังคะ”
“ยังเลยจ้ะน่าจะอีกสักพักใหญ่หนูกินอะไรมาหรือยัง”
“ยังเลยค่ะแม่ล่ะคะ”
“ไม่ต้องห่วงแม่หรอกอาหารของทางโรงพยาบาลมาส่งให้ตั้งแต่เจ็ดโมงเข้าแล้ว”
“วันนี้โรงพยาบาลทำอะไรให้แม่กินคะ”
“เป็นโจ๊กใส่ไข่นะลูกแล้วก็มีพุดดิ้งนมสดด้วยนะอร่อยมาก”
“แม่กินได้เยอะไหมคะ”
“เยอะสิลูกแม่กินโจ๊กไปครึ่งชามแล้วก็พุดดิ้งอีกครึ่งถ้วย” เรณูจำเป็นต้องโกหกลูกสาวไปแบบนั้นทั้งที่เธอทานอะไรไม่ได้เลยและพยาบาลบอกว่าอาจจะต้องใส่สายยางให้อาหารทางจมูกแต่เธอก็ปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ลูกสาวเห็นตัวเองอยู่ในสภาพแบบนั้น
“กินเยอะแบบนี้อีกหน่อยก็คงออกจากโรงพยาบาลได้” เด็กสาวพูดให้กำลังใจทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย
“จ้ะลูก นี่ก็อีกเกือบชั่วโมงกว่าหมอจะแม่ไม่ว่าหนูลงไปหาอะไรกินก่อนดีไหม”
“ก็ได้ค่ะแม่อยากกินอะไรไหมเดี๋ยวหนูจะซื้อมาให้”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก”
“ถ้างั้นหนูขอไปกินข้าวก่อนนะคะแม่ ไม่เกินยี่สิบนาทีหนูจะรีบมาค่ะ”
“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอกจ้ะลูกแม่รู้เวลาหมอออกตรวจดี”
“แต่หนูอยากรีบมาหาแม่อยากมาคุยกับแม่ค่ะ”
“ถ้ายังงั้นก็ตามใจจ้ะ” เรณูรู้ว่าห้ามไปลูกสาวก็คงไม่ฟัง ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าเวลาที่จะอยู่ด้วยกันมันเหลือน้อยเต็มที
เรณูเหนื่อยเกินกว่าจะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ไหว ตอนนี้เธอคุยกับคุณหมอแล้วว่าถ้าหากร่างกายเธออ่อนแอถึงขั้นต้องใส่เครื่องช่วยหายใจหรือหัวใจหยุดเต้นก็ขอให้คุณหมอปล่อยเธอไปอย่างสงบเพราะเธอไม่อยากทรมานและไม่อยากให้ลูกสาวจำภาพที่ตัวเองมีสายและอุปกรณ์รุงรังอยู่เต็มร่างกาย เธออยากจากไปอย่างสวยงาม ลำพังแค่ผมที่ร่วงหล่นจนต้องใส่หมวกไว้ตลอดเรณูก็รู้สึกแย่กับตัวเองมากๆ แล้ว จากที่เคยเป็นคนสวยพอร่างกายตัวเองเสื่อมโทรมลงมันก็ทำให้จิตใจของเธอนั้นห่อเหี่ยวตามไปด้วย