บทนำ

1398 Words
“เข้มแข็งเร็วๆ นะคุณแม่ มีอะไรให้ช่วย บอกศิริได้นะคะ” “ขอบใจมากนะลูก ที่มาส่งตาธาราเป็นครั้งสุดท้าย แม่ยังไหว ตอนนี้ก็ห่วงแต่คนนี้นี่แหละ” มือเรียวที่เต็มไปด้วยร่องรอยความเหี่ยวย่น เป็นเครื่องแสดงถึงอายุอานามของหญิงชราลูบลงที่ศีรษะเล็กของหลานสาวเพียงคนเดียวเพื่อเป็นการปลอบประโลมเธอ สายตาฝ้าฟางตามประสาคนอายุย่างเจ็ดสิบปีเหม่อมองไปยังกลุ่มควันที่กำลังพวยพุ่ง ราวกับเป็นสิ่งนำส่งผู้ล่วงลับให้ขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ เพื่อนสนิทของธาราที่มาร่วมส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย ต่างยกมือไหว้ธัญญาด้วยความเคารพ พวกเขาเองก็ทำได้เพียงให้กำลังใจและช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ในฐานะเพื่อนเท่านั้น ส่วนเรื่องสภาพจิตใจของคนในครอบครัว ก็คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องเยียวยาจิตใจ “ขอบคุณที่มาส่งคุณพ่อนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณด้วยท่าทางเหม่อลอย เธอโค้งศีรษะแทนการยกมือไหว้ขอบคุณแขกมากหน้าหลายตา ที่เดินลงมาจากเมรุเผ่าศพบิดาของเธอ เรียวแขนทั้งสองข้างกอดกรอบรูปของธาราเอาไว้แนบอก ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำใสๆ ที่ไหลรดลงมาอาบสองแก้มนวลอย่างไม่ขาดสาย ตลอดหลายวันที่ผ่านมาตั้งแต่พ่อของเธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับ “เลิกร้องไห้ได้แล้ว พ่อแกเขาก็ไปดีมีสุข ไม่เจ็บไม่ปวด แกต้องดีใจสิถึงจะถูก” “ใครมันจะไปทำใจได้เร็วเหมือนเธอล่ะยัยมล” “นี่คุณแม่อย่ามาหาเรื่องมลนะคะ ถ้าไม่มูฟออนกันแบบนี้มลก็ไม่มีอะไรจะพูด คนอยู่ก็ต้องอยู่ต่อไปสิ ขอตัวค่ะ” นิรมลยกมือไหว้ธัญญา ซึ่งเป็นถึงแม่ของสามีลวกๆ เธอเบือนสายตาไปมองมิรา หญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวของเธอด้วยแววตาแสดงความหงุดหงิดระคนก่นด่าในใจอย่างไม่ปกปิด เมื่อมิราเอาแต่กอดรูปของคนเป็นพ่อ แล้วร้องห่มร้องไห้ออกมาราวกับว่าอยากจะตายตกตามไปยังไงยังงั้น ‘ถ้าฉันตาย แกจะร้องแบบนี้มั้ย’ “ฮึก!” หลังมือข้างซ้ายถูกยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่กำลังรื้อออกมาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของธารา แม้จะรู้ดีว่าต่อให้เธอร้องไห้ออกมาจนน้ำท่วมโลก ก็ไม่สามารถปลุกชีวิตคนที่นอนอยู่บนกองเพลิงในเมรุเผาศพ ให้ฟื้นขึ้นมาได้ ราวกับคำว่ากล่าวที่ว่า ‘ทุกอย่างล้วนตั้งอยู่และดับไป’ ชีวิตของธาราก็เช่นกัน ‘คงถึงเวลาแล้วสินะ ที่คุณพ่อจะได้พักผ่อนสักที’ “แล้วนั่นแม่จะไปไหนคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงสั่น เมื่อเห็นว่าคนเป็นแม่กำลังจะเดินผละออกไปอีกทาง ทั้งๆ ที่เวลานี้แม่ควรอยู่ข้างๆ เธอจนเสร็จพิธี “ก็กลับบ้านน่ะสิยะ จะอยู่ทำไมอีก เผาก็เผาแล้ว” “แต่ยังเผาไม่เสร็จเลยนะคะ แม่ควรอยู่ต่ออีกสักนิด” “จะให้ฉันอยู่ต่อ ให้แขกที่เป็นเจ้าหนี้พ่อแก มาทวงหนี้กับฉันอย่างนั้นเหรอ ฉันรับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ” “หยุดนะนิรมล เธอจะไปไหนก็ไปไม่ต้องมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าหลานฉัน” ธัญญาตวาดใส่นิรมลด้วยความโกรธ จนมือไม้ของเธอสั่น ดวงตาฝ้าฟางจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าปะหลับปะเหลือกของลูกสะใภ้ตัวดีด้วยความไม่พอใจอย่างหนัก จริงอยู่ว่าการจากไปของธารานั้น ได้ทำให้มีเจ้าหนี้หลายคนเข้ามาติดต่อเรื่องหนี้สินที่เขากู้ไปแล้วยังไม่คืน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางใช้หนี้ ไม่เห็นว่าต้องถึงขั้นจะต้องกลัวจนแทบไม่มาเหยียบงานศพของผู้เป็นสามีเลย นิรมลทำเกินไปจริงๆ “เหอะ! ถ้าอย่างนั้นแม่ก็รับผิดชอบทุกอย่างไปเลยนะ” นิรมลส่งเสียงขึ้นจมูกออกมาอย่างเย้ยหยัน เธอเดินไปขึ้นรถคันหรูที่สตาร์ตเครื่องยนต์จอดรอเธออยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะขับออกไปอย่างไม่ไยดี ไม่มีแม้แต่น้ำตาซักหยดให้แก่สามีที่ล่วงลับไป “แม่เขาเคยรักหนูกับพ่อหรือเปล่าคะคุณย่า ฮึก!” ปากเล็กเอ่ยถามคำถามที่ถูกซ่อนเอาไว้ในใจตลอดยี่สิบปีออกมาในที่สุด ความรู้สึกที่มีแม่เอาไว้แค่เรียก แม่ จนป่านนี้เธอยังไม่รู้เลยว่า แม่จริงๆเขาต้องปฏิบัติต่อลูกอย่างเธอยังไง เพราะเท่าที่นิรมลปฏิบัติต่อเธอ นอกจากเฉยเมยและไม่ใส่ใจ ก็ไม่มีอะไรอื่นอีกเลย “อย่าไปสนใจแม่เราเลย อีกอย่างถึงแม้พ่อของหนูจะจากไปแล้ว แต่หนูยังมีย่าคนนี้อยู่ทั้งคน เลิกร้องนะลูก ย่าจะดูแลหนูเองนะ มิราหลานรักของย่า” “ฮึก! มิคิดถึงคุณพ่อ ต่อไปนี้ไม่มีคุณพ่อแล้วค่ะคุณย่า” ทั้งสองกอดกันร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ หญิงชราเหม่อมองดูกลุ่มควันที่พุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าอีกครั้งด้วยความปวดหนึบในหัวอก ธาราลูกชายคนเดียวของเธอจากไปแล้ว จะเหลือก็แต่แก้วตาดวงใจของธารา ที่เธอจะต้องดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่เธอยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ “ย่ารักหนูนะลูก” อีกด้าน นัยน์ตาคมกริบที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้แว่นกันแดดแบรนด์หรู จับจ้องไปทางหญิงสาวที่กำลังยืนร้องห่มร้องไห้อยู่หน้าเมรุอย่างไม่วางตา นานนับสิบนาทีที่เขาทอดมองเธออยู่อย่างนั้น ตั้งแต่ก้าวขาลงจากรถ ทว่าเขากลับไม่ได้เข้าไปปลอบประโลมเธอเหมือนดั่งที่ตั้งใจเอาไว้ในตอนแรก “เหมือนงานจะเสร็จพิธีแล้วนะครับ”เสียงเข้มของลูกน้องคนสนิทเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายนิ่งเงียบไปตั้งแต่ก้าวลงมาจากรถ ซึ่งปรากฏว่าพิธีฌาปนกิจได้สิ้นสุดลงไปแล้ว อันที่จริงพอลงจากเครื่องพวกเขาก็ตรงมาที่นี่เลย แต่ด้วยความขึ้นชื่อเรื่องรถติดในเมืองนี้ ทำให้พวกเขามาไม่ทันพิธี เจ้าของใบหน้าหล่อคมแบบฉบับลูกครึ่งไทย-ยุโรปละสายตาจากผู้หญิงสองคนที่กำลังกอดกันร้องไห้อยู่หน้าเมรุ ดึงสายตากลับมามองลูกน้องคนสนิทเพียงนิด "ดูจากไฟลต์บินก็รู้ ยังไงก็ไม่ทัน" "แล้วแบบนี้ นายหญิงใหญ่คงฉีกอกนายแน่ๆ"กันเนอร์เหลือบมองหน้าไทเรลล์จากทางด้านข้าง ราวกับกำลังย้ำเตือนบางสิ่งบางอย่างกับเขาเป็นนัยแอบแฝง "หึ! แม่ต้องการให้มันเป็นแบบนี้ต่างหาก"ไทเรลล์ยกยิ้มมุมปาก ด้วยว่ารู้ดีถึงความต้องการของผู้ให้กำเนิดกับทฤษฎีจิตสำนึก ที่คนเป็นแม่ชอบเอามางัดข้อกับเขาตั้งแต่เด็กจนโต"เรื่องที่ให้ไปทำ จัดการไปถึงไหนแล้ว" “ทางเราช้อนซื้อไว้ได้หมดแล้วครับ” “ทำให้มันเป็นของเธอซะ” ใบหน้าคมพยักหน้าไปทางหญิงสาวที่กำลังเดินไปกราบพระสงฆ์ที่นั่งอยู่ใต้ต้นก้ามปู “ทั้งหมดเลยเหรอครับ” “อืม... มันคงเป็นสิ่งที่คุณอาอยากให้เป็นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” “เธอจะดูแลมันได้จริงๆ เหรอครับ” “...” ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่กลับเอาแต่ทอดมองไปทางหญิงสาวที่เขาไม่เจอมาเธอมาเป็นเวลานานมากจนจำวันสุดท้ายที่เจอกันไม่ได้ เจ้าของใบหน้าหวานที่เขาไม่ได้เจอมาสิบกว่าปี ตอนนี้เธอดูเปลี่ยนแปลงไปมากทั้งหน้าตาและรูปร่าง ที่โตขึ้นตามอายุ แต่สิ่งเดียวที่เธอไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ก็คือความโชคร้ายของชีวิต ตั้งแต่วันแรกที่เขาเจอเธอจน ณ ตอนนี้ ดูเหมือนเธอจะเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดตั้งแต่เขาเคยรู้จักผู้คนมา “ฉันหวังว่านี่จะเป็นเรื่องร้ายๆ เรื่องสุดท้ายของเธอนะ มิรา”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD