รากเหง้าของบาดแผล

1019 Words
สามปีก่อน สนามกอล์ฟปานชีวาคลับ ที่เขาใหญ่ แสงแดดช่วงบ่ายสะท้อนบนหญ้าเขียวชอุ่ม ลูกกอล์ฟกระเด้งลงหลุม พร้อมกับจังหวะ เสียงรองเท้าสองคู่ดังกรอบ! แกรบ! เข้ามาแต่ไกล “เสี่ยครับ สนามกอล์ฟที่นี่ ใหญ่สม ราคา ถูกใจเสี่ยไหมครับ?” วิทยายิ้มพลางมองไปรอบๆ ควินเหลือบมองเบาๆ ข้างๆ คือ ยาหยี ภรรยาของวิทยา เธอยืนถือกระเป๋ากอล์ฟอย่างเรียบร้อย แต่สายตาของควินกลับจับไปที่เด็กสาวคนหนึ่ง… สาวน้อยพาน้องตัวเล็ก เก็บลูกกอล์ฟที่ตกอยู่บนสนามอย่างตั้งใจ เด็กๆ ขยับตัวระมัดระวัง ขณะที่แสงแดดส่องบนผมสีเข้มของเธอ ทำให้ภาพนั้นดูเรียบง่ายแต่สะดุดตา อารุม ลูกน้องคนสนิท ยืนอยู่ใกล้ๆ กระซิบเบาๆ “เสี่ย…ชอบแคดดี้คนนั้นหรือครับ?” แต่ควินไม่ตอบ เขาเพียงแค่หันไปมองสองสามีภรรยาที่เดินเข้ามาหา ก่อนเอ่ยเสียงทุ่ม “ผมซื้อที่นี่ในราคายี่สิบเจ็ดล้าน… แต่มันยังไม่พอหักหนี้ของพ่อคุณ ที่เป็นหนี้ผมอยู่” วิทยารีบเอ่ยทันที “ยี่สิบเจ็ดล้านนี้ผมขอก่อนได้ไหมครับ ส่วนหนี้ของคุณพ่อผมขอชำระทีหลัง” ควินตอนนี่ในวัยเพียง 24 ปี ปรายตามองวิทยาอย่างเอือมละอา ก่อนตอบรับ "อืมได้ครับ..." สองสามีภรรยายกมือไหว้ขอบคุณเขาเบาๆ แต่เมื่อควินหันกลับไปที่สนาม… หญิงสาวคนนั้นกลับหายไปจากสายตาเขาแล้ว อารุมสังเกตเห็นสีหน้าของเจ้านายที่เริ่มเปลี่ยนไป ควินเงียบลงอย่างผิดปกติ สายตาคมที่เคยนิ่งเฉยกลับดูว้าวุ่น เหมือนกำลังหงุดหงิดกับบางสิ่ง หญิงสาวที่เขามองอยู่เมื่อครู่... หายไปจากสนามโดยไร้ร่องรอย อารุมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปกระซิบกับวิทยาเสียงเบา “คุณวิทยาครับ... ที่นี่มีแคดดี้กี่คนเหรอครับ?” วิทยาหันมามองหน้าเขา ยิ้มสุภาพ “สิบสี่คนครับ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้ากะ พวกเขายังไม่ได้เริ่มงาน” อารุมขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้ว... เมื่อตะกี้เด็กสาวที่อยู่ในสนาม พาน้องตัวเล็กเก็บลูกกอล์ฟ... เธอไม่ใช่แคดดี้เหรอครับ?” คำถามนั้นทำให้บรรยากาศเงียบไปชั่วขณะ วิทยาหันขวับไปมองภรรยาของตัวเอง ดวงตาเข้มฉายแววไม่พอใจ “ยาหยี! ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าปล่อยให้ลูกลงไปวิ่งในสนามกอล์ฟอีก! แล้วชีวา... ก็เอาแต่ตามใจหลานอยู่เรื่อย!” ยาหยีอ้าปากจะเถียง แต่ยังไม่ทันได้พูด ควินก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เสียงขาของเก้าอี้เสียดพื้นเบาๆ ทำให้ทุกคนหยุดนิ่ง แกร๊กกกก..!! อารุมปรายตามองเจ้านาย ก่อนที่วิทยาจะเอ่ยเสียงเบา พยายามกลบความเก้อเขิน “ตัวเล็ก คือลูกสาวผมครับ ชื่ออมยิ้ม” เขาหยุดนิดหนึ่งก่อนพูดต่อ “ส่วนอีกคน... เป็นน้องสาวผมเองครับ ปานชีวา” ชื่อที่หลุดออกจากปากนั้น... ทำให้ควินชะงัก ริมฝีปากเขาเอ่ยทวนเบาๆ “ปานชีวา...” แค่ได้ยินชื่อเสียงลมในสนามดูจะเงียบลงในทันที จังหวะนั้น ธีระ ลูกน้องคนสนิทของควินเดินเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อน ใบหน้ามีเหงื่อซึมจากการเร่งฝีเท้า เขาก้มศีรษะเล็กน้อย ก่อนกระซิบชิดข้างหูเจ้านายเสียงต่ำ “เสี่ยครับ... สมาคมมีเรื่องด่วนครับ” เขาชะงักเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “สมาชิกทั้งห้าคน…จะลงความเห็นให้ปลดเจ้าสัวชาลิตจากตำแหน่งหัวหน้าสมาคมล่าหยก แล้วตอนนี้ก็มีข่าวลือว่า... หมวดปราการกำลังหมั้นหมายกับลูกสาวของ ลักษาการหัวหน้าคนปัจจุบัน” ควินยืนนิ่ง ปลายนิ้วแตะคางเบาๆ ดวงตาเรียบนิ่งแต่ลึกจนมองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไร ธีระกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนพูดต่อ “ว่ากันว่า ถ้าการหมั้นเกิดขึ้นจริง... หมวดปราการอาจได้ขึ้นนั่งเป็นหัวหน้าสมาคมคนต่อไปครับ” ลมอุ่นๆ จากภูเขาใหญ่พัดผ่าน แต่บรรยากาศรอบตัวกลับเย็นเฉียบ ควินหัวเราะในลำคอเบาๆ เสียงหัวเราะที่ไม่มีความขบขันแม้แต่น้อย “หึ... ถ้าพี่ใหญ่ขึ้นเป็นหัวหน้าสมาคม” เขาเว้นวรรคเล็กน้อย สายตาเย็นเฉียบหันไปมองสนามหญ้าเบื้องหน้า “...บรรลัยกันทั้งวงการแน่” คำพูดนั้นทำให้ธีระก้มศีรษะโดยไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก เพียงแค่แววตาของควินในตอนนั้น... ก็รู้แล้วว่า “เขา” จะไม่ยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นแน่ ควินขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงต่ำเย็นจัด “แล้วเขาว่ายังไงบ้าง...?” ธีระชะงักไปครู่หนึ่ง เหมือนลังเลจะพูด ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “เสี่ยหมายถึง... เจ้าสัวสุกรม คุณพ่อของเสี่ย... ใช่ไหมครับ?” คำถามนั้นเหมือนทิ่มเข้าไปในจุดที่ไม่ควรแตะ ควินหัวเราะในลำคอเบาๆ เสียงหัวเราะที่ฟังแล้วเย็นยิ่งกว่าเดิม “อืม...” เขาพูดช้าๆ แววตาแข็งกร้าว “ก็ใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เขา” ธีระหลุบตา ไม่กล้าสบสายตานาย ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่ควินจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเชือดเฉือน “ตั้งแต่วันที่แม่ฉันหัวใจวายตายต่อหน้าต่อตา... เขาไม่แม้แต่จะขยับมาช่วย” มือใหญ่กำแน่น เส้นเลือดปูดชัดตรงข้อนิ้ว “ตอนนั้นฉันยังแค่เด็ก... แต่คนที่อุ้มแม่ไปส่งโรงพยาบาลกลับไม่ใช่เขา...” เขาหยุดชั่วขณะ สายตาเหม่อไปในความว่างเปล่า “...แต่เป็นคุณอาศักดา..." ควินหลับตาแน่น สูดหายใจลึก “แต่ถึงอย่างนั้น... มันก็ไม่ทันอยู่ดี” เสียงสุดท้ายของเขาแผ่วเบา ทว่ากระแทกในใจคนฟัง ธีระมองเจ้านายเงียบๆ ไม่กล้าเอ่ยคำปลอบใดๆ เพราะรู้ดีว่า... บาดแผลบางอย่างของควิน ไม่เคยสมาน และคงไม่มีวันสมานได้ ควินมองไปยังผืนหญ้าเขียวขจีของสนามกอล์ฟที่ทอดยาวสุดสายตา ลมบ่ายพัดเบาๆ ปลิวผ่านปลายผมและสูทสีเข้มของเขา ดวงตาคมมองภาพตรงหน้าอย่างนิ่งสงบ แต่ในความสงบนั้นกลับมีบางอย่างซ่อนอยู่ เขาเอ่ยเสียงเบา ราวกับพูดกับตัวเองมากกว่าจะพูดให้ใครฟัง “ฉันซื้อสนามกล์อฟนี้…ไม่ใช่เพราะอยากครอบครองหรอก”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD