ตอนที่ 2
ย้อนเวลา
เสียงอื้ออึงที่กระทบหูค่อยๆหายไป มวลน้ำมากมายที่ไหลทะลักวนอยู่รอบร่างราวกับจะดูดกลืนตัวตนของเธอไปด้วย ความรู้สึกทรมานจากการจมน้ำเป็นเช่นนี้เอง ธารทิพย์ พยายามเพ่งมองแสงสีขาวที่อยู่เหนือผิวน้ำอย่างประหลาดใจ ด้วยเหมือนความสว่างจ้านั้นอยู่ใกล้เพียงไม่กี่ช่วงตัว
พระสงฆ์รูปหนึ่งนั่งสมาธิลอยอยู่เหนือธารา
ท่านกำลังมองมาที่เธอขณะตะเกียกตะกายอยู่ใต้น้ำด้วยแววตาเรียบเฉย คล้ายไม่ยินดียินร้ายกับความร้อนรนใกล้ตายของเธอเลยแม้แต่น้อย
“ทะ..ท่านช่วยหนูด้วย หนูกำลังจะจมน้ำ”
แปลกมากที่เธอสามารถเปล่งเสียงในน้ำได้ โดยมวลน้ำนั้นไม่ไหลเข้ายังปากจมูก คล้ายดั่งว่ากำลังลอยอยู่ในก้อนเมฆ
“โยมไม่ได้เป็นอะไรดอก โยมแค่กำลังจะกลับบ้าน”
กลับบ้าน!! อะไรกัน
บ้านเธออยู่รามอินทรา กรุงเทพเมืองฟ้าอมรใช่แม่น้ำมูลสายนี้ที่ไหนกันเล่า หลวงพ่อเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
“....บ้านหนูที่ไหนกัน?..”
เธอได้แต่อึ้ง เมื่อพินิจมองใบหน้าที่เรียบเฉย ทว่าแฝงซึ่งความน่าเคารพศรัทธาของพระรูปนี้ และท่านก็คล้ายจะอ่านความคิดของธารทิพย์ออก จึงเอ่ยว่า
“บุรุษผู้หนึ่งที่ร้อนดั่งไฟ รายล้อมด้วยบริวารทั้งคนและสรรพสัตว์จะเป็นคนพาโยมไปสู่จุดหมาย อีกไม่นานเขาจะมารับโยม และจงติดตามเขาไป”
บุรุษที่ร้อนดั่งไฟ ใครกัน??
“......”
ซู่ๆๆๆๆๆๆ “ดะ..เดี๋ยว หลวงพ่อ”
ยังไม่ทันจะเอ่ยถามประโยคใดต่อ สายน้ำมากมายก็พัดปะทะร่างของเธออย่างแรงจนเซกระทบเข้าสู่ตลิ่ง ธารทิพย์พยายามเพ่งมองร่างของหลวงพ่อ ที่มองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน
ทว่าร่างนั้นค่อยๆเลือนหายไปดั่งเป็นอากาศธาตุ
“มะ...ไม่ๆกรี๊ดๆ”
เธอกรีดร้องเสียงหลงอีกครั้งเมื่อมวลน้ำมหาศาลพาร่างของเธอปะทะเข้ากับผนังตลิ่งอย่างแรงจนรู้สึกจุกเจ็บระบมแทบขาดใจ ธารทิพย์พยายามจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือแต่เหมือนร่างกายเธอจะอ่อนล้าจะกว่าจะขยับได้
สติสัมปัญญะของเธอคล้ายจะดับวูบอีกครั้ง
.
.
ลำน้ำมูล พุทธศักราช ๒๔๗๙
“ฟ้าวๆแหน่ พาวัวควายลงน้ำม่องนี่แหละ ซิได้ใกล้ม่องเฮ็ดครัว” (เร็วหน่อย พาวัวควายลงกินน้ำตรงนี้ใกล้ที่ทำครัว)
เพลี๊ยๆๆๆ
“มอๆๆๆ ม้อๆๆ” เสียงเอะอะโวยวายของคนกลุ่มใหญ่ดังซึงแซ่ พร้อมเสียงร้องของวัวควายฝูงใหญ่เกือบพันตัว ดังแว่วเข้ามาใกล้ ก่อนที่ใครคนหนี่งจะร้องตะโกนเสียงดั่งลั่น
“มึงๆๆมาเบิ่งนี่ คนจมน้ำๆๆ แม่หญิงจมน้ำ”
(มึงมาดูนี่เร็ว ...ผู้หญิงจมน้ำ)
“ตายรึยัง บ่แม่นเป็นศพไปแล้วติเฮ็ดจังได๋ละทีนี้”
“ฮ่วยๆ แม่หญิงทางได๋วะ”
“มึงไปบอกนายฮ้อยก่อน ไปเร็วๆๆ”
ใครคนนั้นเอ่ยบอกเพื่อน ก่อนที่อีกคนจะรีบควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักม้านิลกาฬตัวใหญ่ที่น่าจะเป็นม้านำเข้าจากฝรั่งเศสหรืออังกฤษ ก็ถูกควบมาอย่างไวจนฝุ่นสีแดงตลบคลุ้งไปทั่วบริเวณ
ร่างกำยำกระโจนลงจากอานม้า และปรี่มายัง ธารทิพย์ ที่นอนหายใจรวยรินอยู่ริมตลิ่ง เธอปรือตามองรอบข้างด้วยความฉงนแต่เพราะเจ็บจนจุกร่างกายส่วนล่าง และยังรู้สึกมึนงงที่ตัวเองอยู่ท่ามกลางกลุ่มชายฉกรรจ์และฝูงวัวควายขนาดใหญ่
แถมมีผู้ชายหน้าตาคมเข้มจ้องมองและย่อกายลงข้างๆ
“ผู้หญิงรึ?”
ชายผู้นั้นเอ่ยขึ้น ลักษณะท่าทางคล้ายจะเป็นคนสำคัญในกลุ่มนี้ที่ผู้คนจำนวนมากให้ความเคารพนับถือ
“แม่นแล้วนายฮ้อย ข่อยเห็นนอนบ่ได้สติอยู่นี่แหละตอนสิเอาควายลงน้ำ จักตายรึยัง?”
นายฮ้อยงั้นเหรอเนี่ย? ธารทิพย์รำพึงในใจ
ห่ะ!! นายฮ้อย คือพ่อค้าวัวควายพื้นถิ่นอีสานในอดีตโบราณไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ประเทศเรามีนายฮ้อยที่ไหนกันเล่า
เกิดอะไรขึ้นกับเธอรึ?
“ยังไม่ตายนิ”
เสียงทุ่มเข้มเอ่ยบอก เมื่อมือหนากร้านเอื้อมมาจับชีพจรตรงข้อมือเธอและกดยังหน้าอกซ้ายด้านล่าง บ่งบอกให้รู้ว่าชายผู้นี้เป็นผู้มีทักษะในทางการแพทย์เบื้องต้นพอควร
“ชะ..ช่วยด้วย”
“ยังบ่ตายอีหลีครับนายฮ้อย”
ชายที่ยืนข้างๆพูด ก่อนที่คนอื่นๆจะชะโงกหน้ามาใกล้ๆ เพื่อจะดูร่างและหน้าของหญิงสาวผู้นอนแน่นิ่งริมน้ำ เสื้อผ้าของเธอเปียกปอนแนบลู่ไปกับลำตัว จนเห็นทรวดทรงองค์เอวเด่นชัด นั่นทำให้ นายฮ้อยเอ่ยเสียงดังลั่น
“ถอยออกไปก่อน อย่ามุงๆ ใครมีอะไรก็ไปทำกันได้เลย เราจะตั้งแค้มป์พักวัวควายและนอนริมมูลนี้คืนนี้แหละ พรุ่งนี้ถึงจะเดินทางต่อ”
เสียงประกาศลั่นนั้นทำให้ทุกคนรีบกระจายกำลังออกไป เพื่อทำหน้าที่ของแต่ละคน ธารทิพย์พยายามจะประคองตัวเองขึ้นแต่ความเจ็บร้าวนั่นทำให้เธอทำได้เพียงปรือตาขึ้นแล้วมองต้นเสียงนั้น
คนที่ถูกเรียกว่า นายฮ้อย มองเธออยู่
เขามีใบหน้าคมคาย ร่างกายสูงหนา ผิวสีเข้มออกเหลือง มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เปลือยกายท่อนบนเผยให้เห็นยันต์บนแผงอกกำยำกับต้นแขนที่เด่นชัด สะพายปืนอยาวและมีปืนสั้นกับแส้เหน็บไว้ข้างเอว ทั้งสะพายย่ามและสวมหมวกานใบตาล
อย่างกับพระเอกกองถ่ายละครย้อนยุครึเปล่านี่? ไม่น่า...ถึงหน้าตาไอ้หมอนี่จะดูหล่อเหลาคมคายก็ตามแต่ไม่น่าจะใช่พระเอกแน่นอน เพราะเธอก็เป็นคอละครไทย
คนนี้ไม่น่าจะใช่ดาราแน่นอน!!
“ทะ..ที่นี่ที่ไหน?”
เธอเอ่ยถามเสียงแหบพร่าเมื่อตั้งสติได้ เอาน่าอย่างน้อยก็ยังมีลมหายใจ และคนตรงหน้าก็มีเลือดเนื้อเป็นมนุษย์ค่อยๆพูดจากัน อาจหาทางกลับบ้านได้ แม้จะค่อนข้างตระหนกกับทิวทัศน์รอบข้างในขณะนี้ยิ่งนัก
ไฉนลำน้ำมูลจึงดูแตกต่างจากเมื่อวาน
ทั้งริมตลิ่งที่เต็มไปด้วยหญ้ารกชื้น และทิวทัศน์รอบด้านที่เป็นทุ่งกว้างสุดหูลูกตา มองแทบไม่เห็นบ้านเรือนอย่างปกติแถมยังมีฝูงควายหลายร้อยตัวพร้อมผู้คนที่แต่งกายแปลกๆ
“ลำน้ำมูลไง เอ็งเป็นใครมาจากไหนรึ?”
คิ้วหนาเข้มของ นายฮ้อย ขมวดเข้าหากัน เมื่อมองพินิจพิจารณารูปร่างหน้าตาของเธออย่างถนัดถหนี่ หญิงสาวผู้นี้มีผิวพรรณขาวเนียนละเอียดรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นยิ่งนัก และสายตาคมกริบของเขาก็สะดุดกับปานรูปพระจันทร์เสี้ยวตรงต้นคอของเธอ จนต้องเผลอเอานิ้วแข็งลูบไล้เบาๆ
“อ๊ะ ...นายจะทำอะไร!”
ธารทิพย์ รีบปัดมือหนานั้นออกอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณขณะพยุงกายลุกนั่ง นั่นทำให้มุมปากหยักได้รูปของนายฮ้อยยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย คล้ายตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง
“เอ็งชื่ออะไรรึ? เหตุใดจึงมานอนตรงนี้”
คำถามนั้นดุเข้ม ไม่ต่างจากแววตาคมที่จ้องมองเธอนิ่งดั่งผู้เอ่ยมีมนต์คาถาสะกดจิตให้เธอต้องตอบ
“ทิพย์ ...ฉันชื่อธารทิพย์ นายละชื่ออะไร?”
ริมผีปากอิ่มของเธอสั่นระริกเอ่ยตอบและถามชื่อเขากลับเมื่อสบตาคมเข้ม ทว่าร่างหนาเหยียดกายลุกขึ้นและพึมพำชื่อของเธอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบว่า
“ข้าคือ นายฮ้อยเพลิง!”
เพลิง!! บุรุษผู้หนึ่งที่ร้อนดั่งไฟ ...ที่หลวงพ่อบอกไว้นี่นา
**************