ตอนที่ 12
ร่วมชะตาเดียวกัน
“จะลุกมากินดีๆ หรือจะให้ข้าป้อนใส่ปาก”
“ไม่หิวอย่ามายุ่งกับฉัน”
ธารทิพย์ตอบด้วยน้ำเสียงห้วน ปกติในการใช้ชีวิตปัจจุบันนั้น คนรอบข้างแทบจะไม่เคยมาขึ้นเสียงกับเธอเลยสักครั้ง แม้ในครอบครัวเองพ่อกับแม่นั้นก็แสนเอาอกเอาใจยิ่งนัก แล้วนายฮ้อยใยมาทำน้ำเสียงใส่เธอเช่นนี้
“หากมื้อนี้ยังไม่กินมีหวังได้ไม่สบาย”
เมื่อเห็นว่าเธอยังนอนตะแคงข้างหันหลังให้ มือหนาก็สอดเข้าใต้เรือนผมสลวยโอบท้ายทอยเธอไว้แน่นแล้วบังคับให้หันมา หญิงสาวตระหนกเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาใกล้จนชิด
“จะ..จะทำอะไร ฉันกำลังผะผืดผะอม”
“ท้องเอ็งกำลังปั่นป่วน ข้าจะป้อนยาให้”
“อื้อ..”
เสียงเธอหลุบหายไปลำคอ เมื่อริมผีปากสากร้อนชิดประกบจูบ ลิ้นสากหนาดุนกลีบปากอิ่มของเธอให้เผยอออกก่อนจะสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปาก หญิงสาวรู้สึกสัมผัสได้ถึงรสชาติแปลกๆจากปลายลิ้นเขาและคล้ายมีเม็ดยาสมุนไพรขนาดเล็กเข้ามาในปากตัวเองจนต้องกลืนลงคอ
เขาถอดถอนริมผีปากออก
“นะ.นายฮ้อยทำอะไรนี่!”
เธอเอ่ยถามเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เมื่อกลืนเม็ดอะไรบางอย่างเรียบร้อยแล้ว รสชาติของมันแม้ขมเฝื่อนแต่เมื่อกลืนลงไปแล้วเธอรู้สึกชุ่มคอและอาการวูบวาบในช่องท้องคล้ายทุเลาลง
“ก็ป้อนยาเอ็งไง เดี๋ยวอีกสักพักอาการผะผืดผะอมจะหาย และเมื่อนั้นถ้าสำรับในถาดไม่อิ่ม บอกให้คะนิ้งไปให้ไอ้บากยกมาให้เพิ่มกินให้อิ่ม เพราะจากนี้เราต้องร่วมชะตาเดียวกัน”
เอ่ยเสร็จร่างหนาก็ลุกออกจากเรือนไป
ไม่อิ่มอย่างงั้นรึ? เธอมองถาดสำรับที่วางไว้อยู่มุมเพิง
.
“ให้ฉันไปบอกพี่บากให้เอาข้าวให้เพิ่มมั้ยจะทิพย์”
คะนิ้ง เอ่ยถามเมื่อมองคนตรงหน้าที่ก้มหน้ากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยจนเกลี้ยงชาม แม้ตอนแรกจะทำทีว่าไม่อยากจะกินจนต้องบอกให้เธอยกกลับด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องจ้ะ แต่วันนี้กับข้าวอร่อยจริงเนื้อหมูตุ๋นนี้อร่อยมากหอมกลิ่นเครื่องเทศ พ่อครัวทัพนี้เขาทำอาหารอร่อยจริง”
ถ้าไม่ใช่เพราะยาสมุนไพรให้เจริญอาหาร และฝีมือการทำอาหารของพ่อครัว ไม่มีทางเสียดอกที่เธอจะกินได้เยอะขนาดนี้
“ไม่ใช่เนื้อหมูดอกจ้ะทิพย์ นี่เป็นเนื้อควายตัวที่ตายเมื่อเช้านั่นแหละเป็นเนื้อช่วงอกมัน”
คำบอกของคะนิ้ง ทำให้หญิงสาวแทบจะอิ่มในทันที
นี่เธอเพิ่งจะร้องให้ให้พวกมันอยู่หยกๆ ตอนนี้เธอกำลังกินเนื้อตุ๋นพวกมันอย่างเอร็ดอร่อย ....ชั่งแย่เสียจริง
.
แสงสลัวของโคมตะเกียงในเพิงของนายฮ้อยเพลิง ไหววูบเล็กน้อย เมื่อปรากฏร่างของสองบุรุษก้าวผ่านผ้ากั้นมา และย่อกายยั่งลงบนตั่งตรงข้ามกับร่างหนาที่กำลังสูบยามวนเป็นควันโขมง ดวงตาคมกริบนั้นมองทั้งคู่อย่างครุ่นคิด
“คนงานบอกว่าควายทุกตัวเมื่อผ่าและแล่ออกมาแล้ว ไม่มีเครื่องในเลยสักตัวครับนายฮ้อย”
พรานสิงห์ เอ่ยเสียงเข้มขณะรับมวนยาสูบจากนายฮ้อย และยื่นอีกมวนให้กับ หมอสรวงที่ย่อกายลงนั่งข้างๆ สบสายตาที่คล้ายตั้งคำถามและบอกคำตอบในคราเดียวกัน
“สมิงรึ?”
“แม่นแล้วนายฮ้อย”
สมิงที่ว่ามิใช่ เสือสมิงที่แปลงกายเป็นคน แต่เป็นสมิงจากห่าก้อมที่เล่นอวิชาจนสามารถกลายร่างเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและหิวโหยได้ และวิธีการกินของมันนั้นจะแนบเนียนกว่าเสือสมิงป่ายิ่งนัก ด้วยความจริงมันคือมนุษย์
“มันกล้ามาที่แฝงตัวเข้ามาในทัพของกู”
“ดูท่ามันไม่ธรรมดานะนายฮ้อย เพราะอาคมของพวกเรา ไม่สามารถสัมผัสมันได้เลย ว่าเป็นคนไหนกันแน่จากคนงานในทัพเกือบร้อยคนของเรา มันไม่ใช่อวิชาธรรมดาแต่ต้องเป็นห่าก้อมขั้นสูงแน่นอน”
หมอสรวง เอ่ยสมทบด้วยแววตาครุ่นคิด การเดินทางรอนแรมมาหลายที่ทั้งบุกป่าผ่าดง เจอะเจอพวกใช้วิชาอาคมมาหลายรูปแบบ แต่ทุกครั้งจิตตนจะสัมผัสได้เสมอ
แต่ห่าก้อมที่แฝงตัวมาในตอนนี้ ใยถึงสัมผัสไม่ได้
“แล้วเราต้องทำจั่งได๋นายฮ้อย! จะให้คนงานทุกคนมายืนเรียงกัน แล้วเราไล่เค้นทรมานทีละคนดีรึไม่?”
พรานสิงห์ เอ่ยถามอย่างร้อนใจ ด้วยไม่อยากให้ความเสียหายเกิดขึ้นในทัพมากกว่านี้
“ไม่ต้องดอก”
มวนยาสูบถูกขยี้เป็นยังขึ้เถ้าข้างตั่ง “หากทำเช่นนั้นจะสร้างความตระหนกในทัพมากกว่า ทำทุกอย่างให้ปกติให้คนในทัพคิดว่าควายตายเอง”
.
.
แสงไฟสว่างไสวจากรอบเพิงพัก นั่นทำให้ธารทิพย์รู้สึกดีขึ้นพอควรหลังจากกินข้าวเสร็จ เธอจึงมาอาบน้ำชำระล้างร่างกายริมแม่น้ำกับทั้งสองสาว และเอาเสื้อผ้าเดิมและชุดชั้นในตัวเองมาซักด้วย
“เดี๋ยวเอาเสื้อผ้าพวกฉันไปใส่ก็ได้ เอามาเยอะอยู่เอ็งจะได้ไม่ต้องใส่ชุดหลวมๆที่ไม่พอดีตัวเช่นนี้”
รำพึงเอ่ยบอกเมื่ออาบน้ำเสร็จ และเดินขึ้นตลิ่งเพื่อกลับเพิงกับคะนิ้ง แต่ธารทิพย์ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ริมตลิ่งเพื่อเอาหินมาขัดเสื้อผ้าชุดเก่งของตัวเองอย่างตั้งใจ มีผงซักฟอกห่อเล็กที่คะนิ้งวางไว้ให้แต่แทบไม่มีกลิ่นและฟองนัก เธอเลยใส่ไปแค่นิดเดียว
“ขอบใจมากนะ เดี๋ยวฉันตามไปนะ”
เธอตะโกนบอก และมองไปริมฝั่งใกล้ๆ เห็นว่ามีคนงานหลายคนมาอาบน้ำซักเสื้อผ้าด้วยเช่นกัน เธอจึงขยับผ้ามาคลุมไหล่ลาดของตัวเองที่โผล่พ้นกระโจมอกอย่างระมัดระวัง
“เดี๋ยวข่อยช่วยยก”
เสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะที่เธอยกถังเล็กๆที่ใส่เสื้อผ้าที่ซักแล้วของตัวเองและพยายามจะเดินขึ้นฝั่ง ธารทิพย์เงยหน้าขึ้นไปมองต้นเสียงก็ต้องประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปร่างสันทัดทว่าผิวขาวออกเหลือง ยืนมองเธอด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก
เธอเคยเห็นชายผู้นี้ในกลุ่มคนทำครัว แต่ยังไม่เคยทักทายและพูดคุยด้วยสักครั้ง ด้วยนายฮ้อยเพลิงกำชับไม่ให้เธอทั้งสามไปสุงสิงกับคนงานในทัพ
“ไม่เป็นไรดอก ฉันยกได้จ้ะ”
“ข่อยชื่อเหลือง เป็นคนงานทัพครัวเห็นไอ้บากบอกว่าให้ยกซุปมาให้สู ข่อยตั้งไว้หน้าเพิงเรียบร้อยแล้ว”
ชายผู้ชื่อว่าเหลืองแนะนำตัวเองและมองเธออย่างมีมิตรไมตรี ธารทิพย์จึงยิ้มตอบไปเพราะดูท่าทางแล้วชายตรงหน้าดูสะโอดสะโองอ้อนแอ้น และหากผูกมิตรไว้ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร
“ขอบใจมากจ้ะเหลือง”
หญิงสาวยื่นถังผ้าให้คนตรงหน้า ขณะเดินขึ้นจากตลิ่ง