“อ่าห์...ข้ามีความสุขยิ่ง”
“...” หลัวอวิ๋นหยางอึ้งงันกับคำตอบของนาง
ใบหน้าหล่อเหลาเคลือบไปด้วยหยาดเหงื่อที่โซมกาย หลังจัดการนางในห้องหอหมายให้นางเจ็บปวด แต่ทว่านางกลับบอกว่ามีความสุขยิ่ง ทำเอาคนที่เคลื่อนขึ้นลงใบหน้าชะงักงัน
เสียงขบฟันจนกรามขึ้นเป็นสันเพราะความผิดหวัง ที่อยากสร้างความเจ็บปวดแต่มันพลิกผัน ทำให้นางยิ้มออกมา
“หัวเราะสิ่งใด”
“ท่านปรนเปรอความสุขเช่นนี้ คิดได้อย่างไรว่าข้าจะเจ็บปวด” นางแสร้งทำเป็นพูดแม้ปวดร้าวส่วนกลางกายมากก็ตาม ได้แต่หวังว่าเขาจะหลงกลนางไม่เรียกนางเข้าหออีก
บัดซบ!
เสียงสบถออกมาอย่างไม่พอใจ
‘นี่เขาเสียแรงเปล่าหรือนี่ น่าหงุดหงิดชะมัด’
แต่ความหงุดหงิดนี้มันมีความสุขเคลือบที่ร่างกายอย่างไรชอบกล เขาไม่เข้าใจนัก
“วันนี้ข้าเป็นของท่านแล้ว...เป็นฮูหยินของท่าน เป็นสตรีของท่าน แล้วท่านจะหลงรักข้าสักวัน” เสียงกระซิบปนหอบเอ่ยออกมาแผ่วเบาเหมือนคนกำลังละเมอเพ้อฝัน แต่เรียกสีหน้าอย่างเจ็บปวดใจให้กับคนที่ออกแรงค่อนคืนแต่ไม่อาจจะทำอะไรนางได้เลย
เขาปลดปล่อยครั้งแล้วครั้งเล่า นางกลับยิ้มรับด้วยความสุข
ไม่...ต้องไม่ใช่แบบนี้!
แต่รสรักของนางทำให้เขารู้สึกติดใจอย่างไรชอบกล ก่อนจะสะบัดศีรษะไล่ความคิดนั้นออกไปแล้วสั่งเสียงห้วน
“เข้าหอจบแล้ว...กลับเรือนของเจ้าไปได้แล้ว”
เขายืนขึ้นสวมชุดลวก ๆ ก่อนจะเดินไปด้านนอกด้วยความไม่พอใจ ทิ้งคนที่เพิ่งร่วมรักให้เจ็บปวดใจอยู่บนเตียงลำพัง
นางยิ้มให้กับเงาที่สะท้อนแสงตะเกียงกำลังเดินลับออกไปอย่างขมขื่น
“ขอให้วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ท่านจะทำร้ายร่างกายข้า” ภาวนาให้เขาอย่าสนใจ หรือใส่ใจนางทำราวกับนางไม่มีตัวตนเลยยิ่งดี ให้นางตายจากในชาตินี้อย่างสงบเถิด
แม้ว่าจะเป็นเพียงความหวังเล็ก ๆ แต่ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือไม่
จื่อฝูถูกสั่งให้เข้ามาดูแลปรนนิบัตินายของตน และให้นำตัวไปที่เรือนดอกท้อในทันที ไม่ให้นอนค้างคืนที่เรือนพักนี้
แม้จะเจ็บปวดใจกับคำสั่งนั้น เพราะท่านโหวรังแกนายตนจนได้ยินลั่นทั้งจวน แต่เมื่อเสร็จสมกลับไร้ความปรานีใดอีกเลย
ผ้าที่ซับเลือดพรหมจรรย์ นางหมายจะเก็บออกไปเสีย แต่ก็มีคนของท่านโหวมายื้อแย่งเอาไปจนฮูหยินพยักหน้าให้ปล่อยไปเถอะ หาใช่ของมีค่าอะไร
“ฮูหยินเดินไหวหรือไม่” นางรับรู้มาว่าเรือนดอกท้อ เป็นเรือนที่ถูกปิดตายมาหลายปี แล้วอยู่ด้านหลัง ฮูหยินและนายท่านที่เสียชีวิตไปแล้วสร้างไว้เพื่อความสำราญใจ มีต้นท้อหลายต้นทั้งมีสระน้ำสีมรกต ที่ผันน้ำมาจากแม่น้ำจนเต็มสระอยู่ตลอด
แต่บัดนี้มันไร้การเหลียวแลและถูกปิดตาย ทั้งด้านหลังยังเป็นสุสานของนายท่านและฮูหยิน คนทั้งจวนจึงไม่ค่อยแวะเวียนมาใกล้เนื่องจากหวาดกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น
ยามนี้แม้จะใกล้รุ่งสางแต่ทว่ามันก็ยังมืดมิดเต็มที ทั้งนายหญิงของตนนั้นเพิ่งผ่านการร่วมหอมา จะให้เดินไปไกลเพียงนั้นช่างอำมหิตไปหน่อยหรือไม่
“ไปเถิด อย่าอยู่ให้รกหูรกตา ข้าคิดว่าครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้มาเหยียบเรือนใหญ่”
หลังจากยั่วโมโหเขาไปแล้ว เขาคงส่งนางไปอยู่ที่ยากลำบากเป็นแน่ แต่ยิ่งอยู่ห่างไกลเขาเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
ขณะที่กำลังลุกจากเตียงนอน ใช้ร่วมรักอย่างเร่าร้อนนั้น เสียงสตรีที่เขาเคารพก็เดินมาพร้อมกับถ้วยยาสีดำน่ากลัวจนนางได้กลิ่นเหม็นสมุนไพรลอยออกจากถ้วยยา
“ฮูหยิน...ท่านโหวให้นำยาห้ามครรภ์มาให้” เสียงแม่นมชราวัยกล่าวขึ้นด้วยเสียงเรียบ ไม่แสดงความพึงใจหรือเดียดฉันท์ จนนางอ่านไม่ออกเช่นกันว่าแม่นมผู้นี้ดีหรือร้าย
ทั้งพยายามจ้องลึกไปในดวงตา กลับพบเพียงความว่างเปล่ามิต่างจากผู้เป็นนายของจวนเลยจริง ๆ
เลือดเย็นอำมหิตกันยกจวนเลยงั้นหรือ!
จิวฮวามองถ้วยยาแล้วถอนหายใจ ก่อนจะยกมันขึ้นดื่มรวดเดียวหมด และเดินออกจากเรือนไปพร้อมกับสาวใช้ของตน
“ฮูหยิน ข้าวของฮูหยินทั้งหมดบ่าวให้คนเอาไปส่งที่เรือนดอกท้อแล้ว ขอฮูหยินพักผ่อนให้สำราญใจ” แม่นมจี้ฉงย่อตัวลงแล้วเดินไปพร้อมกับคนของตัวเองอีกสี่คน
จากตอนแรกที่คิดว่าฮูหยินจะดื่มยาก กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เลยไม่ต้องใช้กำลัง ทำให้นางเบาใจ
ตอนนี้นางยังไม่เลือกฝ่ายทั้งนั้น ต้องดูท่าทีของเจ้าของจวนอย่างนิ่งอันโหวเสียก่อนว่าจะทำเช่นไรต่อไปดี
เมื่อร่างแม่นมของนิ่งอันโหวจากไป สตรีสองคนที่ช่วยกันพยุงกันเข้าไปที่เรือนด้านหลังอย่างทุลักทุเลเต็มทีกว่าจะเดินมาถึง ใช้เวลากว่าสองเค่อ นอกจากจวนจะกว้างใหญ่ไม่พอ จวนฮูหยินยังจัดให้อยู่เสียท้ายสุดของจวน
ช่างน่าอนาถนัก!
“ถึงแล้วหรือ” ประตูจวนที่ปิดสนิท ทั้งไม่มีแสงจากตะเกียงใดเลยทำให้นางถึงกับขมวดคิ้ว
“ถึงแล้วเจ้าค่ะ ป้ายเขียนว่าเรือนดอกท้อ” จื่อฝูเงยหน้ามองป้ายที่กระทบแสงโคมที่จุดส่องสว่างไว้ด้านนอก แล้วเรียนนายสาวให้ทราบ
“หึ...ช่างทารุณข้ายิ่ง!” แม้พอรู้ชะตากรรมของฮูหยินเชลยอยู่บ้าง แต่ไม่คิดว่าเขาจัดการต้องรับนางดีเช่นนี้จนรู้สึกซาบซึ้งน้ำใจนัก มีเพียงเทียนแค่เล่มเดียว ที่ให้จื่อฝูถือมา ตอนแรกก็ไม่เข้าใจบัดนี้รู้แจ้งแล้วว่าเขาหมายถึงอะไร
“เจ้าลองไปค้นหากระบอกจุดไฟ ข้าติดตัวไว้เสมอเผื่อยามฉุกเฉิน เจ้าจุดเทียนเล่มนี้เถิด พรุ่งนี้เช้าค่อยคิดหาทาง”
มาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครนอกจากพึ่งตัวเอง และคิดว่ากับข้าวกับอาหารคงไม่มาถึงเรือนหลังง่ายนัก นางต้องคิดหาหนทางอยู่รอดให้จงได้
“โถ...ฮูหยินของจื่อฝู” เสียงเครือสั่นของจื่อฝูเปล่งออกมา ไม่คิดว่าคนที่แคว้นโจวจะโหดเหี้ยมกับสตรีตัวเล็ก ๆ เช่นนี้
‘เกิดเป็นหญิงก็ไร้ทางเลือก เกิดเป็นชายก็อันตรายนัก หากไม่เกิดมาจะดีกว่าหรือไม่’
แม้เป็นแค่ความคิดของนาง แต่นางก็อยากให้เป็นจริง