1.2

1350 Words
ทันทีที่กลับถึงแมนฮัตตัน เอเดรียนก็สั่งให้คาเรนเรียกประชุมทุกฝ่ายเป็นการด่วน สีหน้าที่เคร่งเครียดของซีอีโอหนุ่มทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมต่างพากันหายใจไม่ทั่วท้อง โดยเฉพาะมุกดาราที่มีชนักติดหลัง มือบางทั้งสองข้างที่ซุกซ่อนอยู่ใต้โต๊ะประสานกันเอาไว้แน่น เสียงทุบโต๊ะดังสนั่นจากฝีมือของเอเดรียนทำให้หญิงสาวสะดุ้งจนสุดตัว “ผมยอมรับได้แม้ว่าบริษัทของเราจะไม่สิทธิ์ในสัมปทานเหมืองเพชรในเวอร์จิเนียร์ แต่ที่ผมยอมรับไม่ได้คือมีใครบางคนในบริษัททรยศ ซึ่งก็หมายความว่ามีหนึ่งในพวกคุณหรืออาจจะมากกว่าหนึ่งทรยศ” เสียงทุ้มประกาศกร้าวนั่นทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมแสดงสีหน้าแตกตื่น มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความกังขา ก่อนที่มีหนึ่งในผู้เข้าร่วมประชุมจะออกปากถาม แม้ว่าจะรู้สึกเกรงๆ กับท่าทางเกรี้ยวกราดของซีอีโอหนุ่มไม่น้อย “คุณเอเดรียนหมายความว่าไงครับ พวกเราไม่เข้าใจ” “นั่นน่ะสิคะ พวกเราน่ะหรือจะกล้าทรยศต่อบริษัท กล้าทุบหม้อข้าวของตัวเอง” “ใช่ๆ” หลายๆ คนต่างช่วยกันเสริมพลางพากันพยักหน้าหงึกๆ ด้วยฟรีเดล กรุ๊ปดูแลพนักงานเป็นอย่างดี มีหรือที่ใครจะกล้าทรยศบริษัทของตัวเอง “มีใครบางคนส่งข้อมูลราคาที่เราเสนอยื่นซองประมูล โดโนแวน กรุ๊ปชนะเราไปด้วยราคาที่ต่างกันเพียงแค่สิบดอลลาร์เท่านั้น และนั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันเป็นเรื่องจงใจ” มาถึงตรงนี้มือทั้งสองข้างของเอเดรียนกำเข้าหากันแน่น กรามแกร่งบดเข้าหากันจนเป็นสันนูน และดวงตาสีฟ้าก็ฉายแววเกรี้ยวกราดอย่างเด่นชัด จนคนในห้องประชุมต่างพากันหายใจไม่ทั่วท้อง แม้ว่าจะไม่ได้มีความผิดใดๆ ก็ตาม ยกเว้นตัวต้นเรื่องอย่างมุกดารา และตอนนี้สีหน้าของหญิงสาวก็ไร้สีเลือดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดพลายบนใบหน้าเนียนใส และความเย็นจากเครื่องปรับอากาศในห้องประชุมก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย “เรื่องราคาที่เรายื่นเสนอไปมีแค่คนในห้องนี้เท่านั้นที่รู้ พวกคุณคงไม่คิดว่าผมทรยศบริษัทที่เป็นธุรกิจของครอบครัวตัวเองหรอกนะ” ยิ่งเอเดรียนประกาศกร้าวออกมาแบบนั้นทุกคนต่างพากันกลืนน้ำลายเหนียวหนึบลงคออย่างยากลำบาก ครู่ต่อมาดวงตาของทุกคนต่างพากันเบิกกว้างเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่กดต่ำประกาศกร้าวอีกครั้ง “ผมให้เวลาพวกคุณหนึ่งชั่วโมง ถ้ายังไม่มีใครยอมรับว่าทำเรื่องนี้ ผมจะไล่พวกคุณออกทุกคน” กล่าวจบเอเดรียนก็ขยับเท้าออกจากห้องประชุมราวกับการเคลื่อนที่ของพายุ ไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ขอร้องหรืออ้อนวอนใดๆ ทั้งนั้น พอลเพียงมองทุกคนอย่างเห็นใจ แต่เขาก็ทำได้เพียงเท่านั้น ก่อนจะก้าวออกจากห้องตามเจ้านายหนุ่มไป เอเดรียนไปแล้วทว่าทิ้งบรรยากาศที่เต็มเอาไว้ด้วยความอึดอัดจวนเจียนหายใจไม่ออกเอาไว้ให้คนในห้อง หลายคนต่างพากันโอดครวญ เพราะหากถูกไล่ออกแต่ละคนได้รับผลกระทบอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหางานใหม่ที่ดีแบบนี้ได้ง่ายๆ “นี่มันเรื่องบ้าชะมัด” “นั่นน่ะสิ ใครกันที่กล้าทรยศบริษัทแบบนี้ เลวจริงๆ” “ถ้าถูกไล่ออกฉันจะทำยังไงดี ฉันจะหาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายกันล่ะ ลูกฉันอยู่ในวัยเรียนตั้งสามคนเชียวนะ” เสียงก่นด่าระคนตัดพ้อที่ออกมาจากปากของคนในห้องประชุมทำให้มุกดาราที่กระชับมือที่ประสานกันเอาไว้แน่นขึ้น ความรู้สึกไหลบ่าเข้าสู่กลางอกอย่างช่วยไม่ได้ สีหน้าที่แทบจะไร้สีเลือดเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แต่เธอก็ไม่กล้าหาญพอที่จะยอมรับในเรื่องที่ได้ทำลงไป ถึงแม้ว่าจะทำไปเพราะความจำเป็นก็ตาม แม้หลายคนจะเริ่มสติแตกกับคำประกาศิตที่เอเดรียนทิ้งท้ายเอาไว้ แต่เพราะความไว้วางใจซึ่งกันและกันต่างไม่มีใครโทษใครว่าเป็นผู้กระทำผิด ส่วนใหญ่มีแต่ตัดพ้อหากเกิดถูกไล่ออกขึ้นมาจริงๆ “ฉันเพิ่งจะเริ่มผ่อนคอนโดได้ไม่เท่าไรเอง นี่ฉันจะเสียมันไปจริงๆ งั้นเหรอ แล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ” “ผมก็กำลังเก็บเงินจะแต่งงาน หากต้องตกงานขึ้นมาจริงๆ ชีวิตคู่ที่ผมวางแผนเอาไว้ต้องพังแน่ๆ” คำตัดพ้อออกมาจากปากของแต่ละคน และมันก็แจ่มชัดเสียจนมุกดาราได้ยินประโยคดังกล่าวซ้ำๆ ในหัวของเธอ ส่วนคาเรนไม่ได้กล่าวอะไรออกมา มุกดาราลืมมองอีกฝ่าย เห็นว่าคาเรนกำมือเข้ากันแน่น จากที่เคยได้ร่วมงานกันอย่างใกล้ชิดทำให้มุกดารารับรู้ได้ในทันทีว่าคาเรนอยู่ในอารมณ์โกรธเคืองอยู่ไม่น้อย จนกระทั่งประโยคที่ออกมาจากผู้ร่วมประชุมคนหนึ่ง ทำให้มุกดาราต้องช้อนสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ตอนนี้แม่ของผมป่วยหนักและนอนรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล ถ้าผมต้องถูฏไล่ออกจากงานในตอนนี้ละก็ ต้องแย่แน่ๆ” ใบหน้าของคนที่เพิ่งจะพูดจบดูเครียดจัดมากกว่าคนอื่นๆ เสียงก่นด่าระคนตัดพ้อผู้ที่ทรยศต่อบริษัทก็ยังคงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้มุกดาราก็ละอายใจเกินกว่าจะให้คนอื่นๆ มารับผิดชอบความผิดที่พวกเขาไม่ได้ก่อ “ทุกคนคะ” เสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของมุกดาราทำให้เสียงก่นด่าระคนตัดพ้อของคนในห้องชะงักลง ก่อนที่สายตาทุกคู่จะจับจ้องมาที่มุกดารา ดวงตากลมโตหลุบลงต่ำอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะช้อนสายตาขึ้นกวาดสายตามองทุกคนในห้อง หญิงสาวกลืนน้ำลายเหนียวหนึบลงคออย่างยากลำบาก นัยน์ตาสีดำสนิทเริ่มมีน้ำใสๆ ขังคลอ “ฉันเองค่ะ ฉันเป็นคนทำ ฉันเป็นคนส่งข้อมูลเรื่องราคาประมูลให้โดโนแวน กรุ๊ป” ทุกคนต่างตกอยู่ในสภาวะตกตะลึง และตอนนี้มุกดาราก็ละอายใจเกินกว่าจะทนสบสายตากับทุกคนที่จ้องมองมาที่เธอเป็นตาเดียวกันได้ เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวต้องหลุบสายตาลงต่ำ ทำได้แค่เพียงมองมือเล็กของตนที่ประสานกันเอาไว้บนตัก “ผักหวาน รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา” ถึงแม้จะได้ยินอยู่เต็มสองหู แต่คาเรนกลับไม่คิดเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน คนอย่างมุกดาราน่ะหรือที่จะกล้าทำเรื่องแบบนั้น คนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอแบบนั้นน่ะหรือ ที่จะกล้าทำเรื่องร้ายแรงเช่นนั้น ยิ่งได้ยินแบบนั้น มุกดาราก็ยิ่งไม่กล้าสู้สายตาใครทั้งนั้น โดยเฉพาะน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความผิดหวังของคาเรน “ฉันเป็นคนทำจริงๆ ค่ะคาเรน” มุกดาราให้คำตอบทั้งๆ ที่ก้มหน้าก้มตาอยู่แบบนั้น หลายคนในห้องต่างส่ายหน้า ก่อนจะพากันลุกจากห้องไปที่ละคน โดยไม่ลืมทิ้งสายตาเกลียดชังเอาไว้ให้มุกดาราด้วย จนกระทั่งเหลือคาเรนเป็นคนสุดท้าย คาเรนขยับตัวลุกจากเก้าอี้ ก่อนที่จะก้าวออกมาจากห้องไม่ลืมทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ทำให้มุกดาราน้ำตาไหลพรากราวกับเขื่อนแตก “เสียแรงที่ฉันเคยเอ็นดูเธอนะมุกดารา” กล่าวจบคาเรนก็ก้าวออกไปจากห้องทันที มุกดารามองประตูห้องที่ถูกปิดลง ดวงตากลมโตที่เคยสุกใสเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ร่างเล็กสะอื้นฮักอยู่แบบนั้นอีกพักใหญ่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD