“หนึ่งเดือน!!!” เมริสาโอดครวญ “แล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าห้องให้เจ๊ล่ะ”
“ไม่ใช่ปัญหาของฉัน” ดวงมณีเดินออกไปอย่างไม่มีเยื่อใย
เมริสาคอตก อัญชลีมองดุ สมชายถอนหายใจเฮือกๆ เหมือนเพิ่งถูกฉุดขึ้นจากน้ำ
“หมดเคราะห์หมดโศก คิดว่าจะตกงานแล้ว”
“ฉันแย่ที่สุด ฉันน่าจะระงับอารมณ์ให้ดีกว่านี้” เหมือนจะสำนึกผิด แต่เจ้าหล่อนกลับทุบโต๊ะดังปัง ระบายแค้นที่ยังคุกรุ่นไม่หาย “แต่ไอ้แก่ตัณหากลับมันสมควรโดนแล้ว สันดานแย่ๆ ดูถูกผู้หญิง”
“อย่าพูดเสียงดังไป เดี๋ยวเจ๊ดวงได้ยิน จากเดือนเดียวจะกลายเป็นสองเดือน”
อัญชลีทำหน้าเหนื่อยหน่ายยิ่งกว่าดวงมณี “แม่ถึงอยากให้แกกลับไปเรียนให้จบไง เหลืออีกแค่นิดเดียวเองไม่ใช่เหรอ”
ใช่แล้ว เธอยังเรียนไม่จบ เธอพักการเรียนไว้ตั้งแต่บิดาป่วย เพื่อมาดูแลอย่างใกล้ชิด กระนั้น หลังจากที่บิดาเสียชีวิตไปแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ยอมกลับไปเรียนต่อ มุทำงานที่ร้านอาหาร ทิ้งความฝัน เพราะไม่อยากให้มารดาเหนื่อยจนเกินไป กับการต้องส่งลูกสาวสองคนเรียนมหาวิทยาลัย
อีกอย่าง ห้องเรียนไม่ใช่ที่เดียวที่ให้ความรู้เธอได้ ทุกวันนี้ เธอยังเรียนรู้การตัดเย็บเสื้อผ้าในห้องนอนของเธอ ด้วยจักรขนาดเล็กที่บิดาซื้อให้เป็นของขวัญก่อนจากกัน
“ไปเรียนก็เท่านั้น หนูชอบงานที่ร้านอาหาร หนูชอบทำอาหาร อยากยึดเป็นอาชีพ ทำงานที่นี่ก็เท่ากับได้เรียนนั่นแหละค่ะ มหาวิทยาลัยชีวิตไงจ้ะแม่ ไม่ต้องจ่ายค่าเทอม แถมยังได้เงินอีกด้วย ดีจะตายไป”
“แล้วไม่อยากเป็นดีไซเนอร์แล้วเหรอ”
หญิงสาวนิ่งไปครู่ ก่อนจะยิ้มร่า “ไม่รู้สิแม่ หนูว่าหนูไม่เหมาะจะนั่งทำงานอยู่กับที่หรอก ตอนเด็กก็ฝันไปเรื่อย เห็นชุดสวยๆ แล้วอยากใส่ แต่ไม่มีปัญญาจะซื้อ เลยอยากตัดใส่เอง แต่พอโตขึ้น ถึงได้รู้ว่า คนสวย ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าสวยๆ แพงๆ ก็ได้ เลือกใส่แต่ที่เหมาะกับตัวเองก็ดูดีแล้ว หนูเลยฝันใหม่ เอาที่สามารถทำได้จริงดีกว่า อย่างการทำอาหารอร่อยๆ ให้คนกิน แบบนี้ ชีวิตถึงจะสนุก มีรสชาติ”
“ถ้ามันเป็นรสชาติที่แกชอบจริงๆ แม่ก็ไม่ว่าหรอก แกก็พยายามปรุงมันให้อร่อยก็แล้วกัน”
“แม่ช่วยหนูปรุงด้วยนะ เพราะแม่เก่งที่สุด” เธอส่งสายตาหวานให้มารดาเลี้ยง “ถ่ายทอดเคล็ดลับวิชาให้หนูเดี๋ยวนี้”
สองแม่ลูกกอดกันแล้วหัวเราะมีความสุข สมชายที่ยืนซึ้งอยู่ด้วย ขอแบ่งปันความอบอุ่น ด้วยการเข้าไปสวมกอดสองแม่ลูกด้วยความรักและจริงใจ
“สู้ๆ นะ”
ร้านอาหารปิดประตูตอนสี่ทุ่มพอดี พนักงานต่างพากันแยกย้ายกลับที่พัก บ้างก็พักอยู่ข้างนอก บางส่วนพักที่ร้าน หญิงสาวช่วยมารดาเก็บครัวเสร็จแล้วก็กลับขึ้นห้องนอน
เมริสาตรงไปที่จักรคู่กาย ลงนั่ง แล้วเริ่มตัดเย็บชุดสวย เพื่อมอบให้กับมารดาในวันเกิด เธอออกแบบเองและตัดเย็บเองเสร็จสรรพ โดยไม่ให้ใครรู้ เธอตั้งใจจะเซอร์ไพรส์
“ฝีมือเราก็ไม่เลวเหมือนกันนะ” เธอชื่นชมผลงานของตัวเอง แม้ยังไม่เสร็จ เธอกอดผ้าสีสวยเอาไว้แนบใจ นึกถึงความสุขเล็กๆ เวลาที่ถูกกอดจากอัญชลี
“หนูขอบคุณนะคะ ที่ดูแลเลี้ยงดูหนูมาอย่างดี”
และเธออดที่จะฝันต่อไม่ได้...
“ถ้าเราแต่งงาน เราจะตัดเย็บชุดแต่งงานเอง”
เธอมีความสุขกับจินตนาการของตัวเอง ทำงานด้วยความเพลิดเพลิน จนหลับคาโต๊ะตั้งจักรไปในที่สุด เมื่อตื่นอีกทีก็พบว่าดวงตะวันโผล่พ้นยอดตึกมาแล้ว
เมริสาถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์
“คุณรู้เบอร์ฉันได้ไง?”
“มันติดอยู่ที่ตู้เย็น”
ร็อกกี้จอมกวนไม่ยอมให้เธอนอนหลับสบายเลยนะ มันอะไรกันนักกันหนา เธอไม่ใช่ทาสเขานะ
“อย่าถามมาก รีบมาทำอาหารเช้าให้ฉัน แล้วก็มาทำความสะอาดต่อด้วย ห้องรับแขกกับในครัวยังไม่ได้แตะเลยใช่ไหม สกปรกมาก ฉันอยู่ในที่แบบนี้ไม่ได้หรอก ให้เวลาสามสิบนาที”
แล้วหมอนั่นก็วางสายไปเสียอย่างนั้น ไม่รอฟังเลยว่าเธอจะรับปากหรือปฏิเสธ
“บ้าที่สุดเลย” เธอนั่งเซ็งอยู่ครู่เดียวก็ตัดสินใจเข้าห้องน้ำ ความจริง ถึงเขาไม่โทรศัพท์มาเรียกตัว เธอตั้งใจจะไปที่อพาร์ตเม้นต์อยู่แล้ว เพราะเธอลืมของไว้ที่ห้องนั้น ของที่เธอคุ้ยขึ้นมาจากถังขยะหน้าอพาร์ตเม้นต์ตอนออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ต
“ถูกสั่งพักงาน แทนที่จะว่าง อยู่ห้อง ทำงานสบายๆ กลับต้องไปทำงานให้ใครก็ไม่รู้”
เธอแต่งตัวทะมัดทะแมงเตรียมพร้อมลุยงานทำความสะอาด เดินเท้าไปตามริมฟุตบาทที่แสนคุ้นเคย ไม่นานนัก เธอก็หยุดตรงหัวมุมถนน ซึ่งมีร้านกาแฟสุดคลาสสิคตั้งอยู่
“กาแฟสักแก้วก็ดีนะ” เธอหยิบเงินออกจากกระเป๋า แล้วนับเพื่อความมั่นใจ “ยังกินได้อีกไม่กี่แก้ว สงสัยต้องรีบหางานพาร์ทไทน์ทำแล้วล่ะ”
แม้รู้สถานการณ์ชีวิตที่เริ่มเข้าสู่วิกฤติทางการเงิน แต่เธอก็ยังเจียดเงินไปแลกกาแฟคาปูชิโน่รสโปรด ระหว่างรอชายหนุ่มหลังเคาน์เตอร์ปรุงกาแฟที่หอมกรุ่น เธอแก้เบื่อด้วยการหันไปมองรอบๆ ร้าน แล้วเธอก็หยุดสายตาไว้ที่โต๊ะสองที่นั่งติดฝาผนังกระจกส่วนหน้าของร้าน
ชายหนุ่มผู้เคร่งขรึมมีสายตาข้นเครียดอย่างเห็นได้ชัด เขามองผ่านกระจกออกไปด้านนอก ดูเหมือนไร้จุดหมายมากกว่าจะมองใครหรืออะไรเป็นพิเศษ
เธอมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนถูกเรียกให้รับกาแฟที่ยื่นผ่านเคาน์เตอร์มา เธอจ่ายเงินตามราคาแล้วเดินออกจากร้านไป โดยยังทิ้งหัวใจไว้ในร้าน
“นั่งคิดอะไรอยู่นะ ดูเหงาจัง” เธอรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เห็นแววตาของหมอนี่ทีไร รู้สึกหนาวสะท้านทุกที แววตาที่ดุดันเข้มแข็ง ที่แอบแฝงความเงียบเหงาอ้างว้างและหวาดกลัวเอาไว้ “หรือว่ากำลังคิดถึงใครอยู่”
เมริสาจิบกาแฟอย่างไม่สบอารมณ์นัก ไม่ใช่เพราะรสชาติ แต่เป็นเพราะรู้สึกอิจฉาคนที่เขากำลังคิดถึง หากข้อสันนิษฐานของเธอเป็นจริง
เธอเดินเข้าตึกหรู กดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นสามสิบ ที่ซึ่งนางฟ้าเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์อยู่ได้ คำพูดของไอริสดังก้องอยู่ในหัวของเธอเสมอ
เมื่อเดินผ่านหน้าห้องของชายหนุ่มแสนลึกลับ เธออดไม่ได้ที่จะหยุดและมองประตูบานนั้นราวกับกำลังสะกดให้มันเปิดออก
“ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ” เธอวินิจฉัยอาการของตัวเองเมื่อรู้สติ “สงสัยเมื่อคืนนอนน้อย เลยเบลอ”
เธอสาวเท้าอย่างเร็วไปยังห้องของไอริส แฟนหนุ่มใกล้ถูกทิ้งของเจ้าหล่อนยังอาศัยห้องนี้เดินกระฟัดกระเฟียดไปมา และอารมณ์เสียอย่างต่อเนื่องเพราะยังติดต่อคนรักไม่ได้ เธอเคาะประตู ครู่หนึ่ง ประตูก็เปิดออก
กรี๊ดดดดดดดดดดด...หญิงสาวร้องลั่นในใจ สายตาของเธอกำลังจับจ้องชายหนุ่มที่ยืนเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่ตรงหน้า หัวใจเธอเต้นรัว ตัวเธอแข็งทื่อ มือกำแก้วกาแฟไว้แน่น ก่อนก้มลงสูดแบบรวดเดียวหมดแก้ว...!!!