บทที่2 พี่ชายที่แสนดี

1629 Words
พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงชิดขอบฟ้า ไม่นานความมืดก็โรยตัวลงมา ร่างเล็กเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาสิบแปดนาฬิกายี่สิบนาที เดินผ่านร้านอาหารที่อยู่ตามชายฝั่งที่ประดับด้วยไฟดวงเล็ก ๆ อากาศเริ่มเย็นลงทุกที หญิงสาวถอดรองเท้าสวมแบบเปิดส้นวางไว้ด้วยกันกับแอร์เมสใบย่อม ย่ำเท้าเปลือยเปล่าไปบนผืนทรายเม็ดละเอียด มองเห็นเปลือกหอยและกิ่งไม้อยู่ประปราย เบื้องหน้าเห็นพระอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้า ได้สินเสียงคลื่นที่กำลังซัดเข้าหาฝั่ง ความคิดภายในใจจมดิ่งเข้าไปทุกที ความรู้สึกที่ได้เป็นคนโง่ให้คนอื่นหลอกใช้ค่อย ๆ เกาะกุมหัวใจ เหมือนความมืดเบื้องหน้าที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา กิจธาดาวงศ์ เป็นตระกูลร่ำรวย นอกจากธุรกิจโรงแรมระดับเจ็ดดาว ยังมีธุรกิจร้านอาหารที่ต่างประเทศหลายสาขา ทายาทที่เกิดมาจึงเพียบพร้อมทุกประการ บิดามารดาของพิชชาเป็นที่รู้จักนับหน้าถือตาในสังคม ทว่าต้นทุนเหล่านี้กลับไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าชีวิตของเธอจะสุขสมหวังไปทุกอย่าง แต่เล็กจนโต เธอคิดเสมอว่าตัวเองนั้นฉลาด รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมผู้ชาย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการอบรมเลี้ยงดูของคนในครอบครัว ทว่าความคิดเหล่านี้กลับถูกแทนไททำลายจนหมดสิ้น ยิ่งหวนคิดถึงตอนที่ตัวเองทำตัวดื้อรั้นไม่ฟังที่พิชยะเตือน ก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ ความรักมันทำให้ดวงตาของคน…บอดสนิทได้จริง ๆ แต่มันจะไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกเป็นอันขาด เพราะจากนี้ไปเธอจะไม่เปิดใจให้ผู้ชายหน้าไหนง่าย ๆ อีกแล้ว คนอย่าง ‘พิชชา’ เจ็บแล้วจำ พูดแล้วต้องทำได้ คนที่พร่ำอยู่กับตัวเองขณะที่เหม่อมองออกไปยังท้องทะเลมืดมิด ไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครคนหนึ่งยืนมองอยู่ไกล ๆ สายตาคู่นั้นจับจ้องมาที่หญิงสาวพักหนึ่งแล้ว นับเป็นเวลาครึ่งปีได้แล้วที่เขาไม่ได้ใช้สิทธิ์วันลาหยุด จนเกือบจะไปเรียกร้องให้โรงพยาบาลมอบเกียรติบัตรพนักงานดีเด่นให้ เมื่อวานนี้ธนาจึงอาศัยความเป็นเพื่อน ‘ร่วมหัวจมท้าย’ กันกว่าสิบปี ขอลาพักร้อนกะทันหัน รายละเอียดที่ระบุในเอกสารที่ทำให้คนยึดถือในระเบียบกับลูกจ้างอย่าง ‘พิธา วิวัฒเมธากุล’ เจ้าของโรงพยาบาล ‘วิวัฒเวช’ ที่เขาทำงานอยู่ยอมอนุมัติง่าย ๆ ก็คือความกตัญญู แต่หากเขาเป็นลูกชายผู้กตัญญู ตอนนี้เขากับมารดาในวัยห้าสิบคงเตรียมขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศแล้วสิ เหตุผลที่ทำให้เขากล้าโกหกผู้ว่าจ้างคำโต หรือลมอะไรสักอย่างที่สามารถหอบเขามาถึงที่นี่ได้ มีอยู่เพียงเหตุผลเดียว พี่ชายที่แสนดี… ครั้งหนึ่งธนาเคยให้คำมั่นสัญญากับเด็กน้อยคนหนึ่งว่า… เขาจะเป็นพี่ชายที่แสนดีให้เธอเอง ที่ผ่านมาเขาอาจทำเป็นหลงลืมคำสัญญาพวกนั้นไปบ้าง แต่ในวันที่รู้ว่ายัยเด็กโง่คนนั้นกำลังต้องการใครสักคน เขาก็พร้อมจะเคียงข้างเธอ เป็นพี่ชายที่แสนดีให้ พิชชาปาดน้ำตาที่ไหลปริ่มอยู่ที่หัวตาออก ค่อย ๆ ก้าวเท้าที่เปลือยเปล่าย่ำไปข้างหน้าลงไปในทะเล น้ำทะเลที่ยังหลงเหลือกระแสความร้อนจากเมื่อตอนกลางวันค่อย ๆ กลืนร่างเล็กไปทีละนิด มองจากตรงที่ธนายืนอยู่ สายตาของพิชชาเหมือนคนสิ้นหวังที่กำลังจะคิดสั้น “ฟินน์!!!” ไม่รอช้า ชายหนุ่มตะโกนเสียงดัง รีบวิ่งไปหาพิชชาอย่างไม่คิดชีวิต นาทีนั้นความรู้สึกต่าง ๆ วิ่งเข้ามากระทบจิตใจของเขา ถ้าพิชชาเป็นอะไรไป เขาจะโทษตัวเองไปทั้งชีวิต “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ทำบ้าอะไร” เขาฝ่ากระแสคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่งไปคว้าจับแขนของเธอได้ทันเวลา หญิงสาวตกใจเมื่อมีคนมาประชิดตัว ยิ่งเห็นว่าเจ้าของเสียงเข้มที่ตะคอกใส่เธอเมื่อครู่คือใคร เธอก็ทั้งตกใจและแปลกใจ “อกหักแค่นี้ถึงกับจะฆ่าตัวตายเลยเหรอ! โง่รึไง!” เธอได้ยินเสียงหอบหายใจถี่ ๆ ของเขา แววตาของชายหนุ่มต่างไปจากทุกครั้ง สายตาสะท้อนความเป็นห่วง ความหวาดกลัวปะปนกัน “พี่ธนานั่นแหละเป็นบ้าอะไรเนี่ย ใครจะฆ่าตัวตาย” เธอตะคอกเขากลับ คนอย่างนังฟินน์ไม่มีทางคิดสั้นเพราะเรื่องแค่นี้หรอก “ไม่ได้จะฆ่าตัวตายเหรอ” น้ำเสียงคนพูดอ่อนลง รู้สึกเสียหน้านิด ๆ แต่มือยังจับที่ข้อมือของเธอแน่น “ฆ่าตัวตายอะไร ฟินน์แค่อยากลงน้ำเฉย ๆ” นาทีนั้นธนาทั้งรู้สึกเสียหน้า ทั้งรู้สึกโกรธในความคิดน้อยของเธอ “ใครจะไปรู้ล่ะ แล้วมืดค่ำขนาดนี้ใครใช้ให้เธอลงมาเล่นน้ำทะเล” อย่างไรเขาก็คิดว่าเธอผิด เล่นกับความรู้สึกคนอื่นแบบนี้ได้ยังไงกัน “ไม่มีใครใช้หรอก ฟินน์อยากลงมาเองอ่ะ ใครจะทำไม” เธอแค่อยากให้ตัวเองเปียก อยากเอาน้ำทะเลล้างคราบน้ำตาโง่ ๆ ออกไปแล้วกลับขึ้นฝั่ง ไม่คิดว่าจะมีคนบ้าวิ่งหน้าตื่นมาจากซอกหลืบไหนก็ไม่รู้ “เออ ไม่ได้คิดสั้นก็ดีแล้ว” มาถึงตรงนี้ชายหนุ่มถึงถอนหายใจโล่งอกออกมาได้ “แล้วนี่จะปล่อยมือฟินน์ได้ยัง” หญิงสาวมองไปที่ข้อมือของตัวเองที่ธนายังจับไว้มั่นจนข้อมือข้างนั้นเริ่มจะไม่มีเลือดไหลเวียนแล้ว “ปล่อยก็ปล่อยสิ อยากจับตายล่ะ” ธนารีบคลายมือออกจากข้อมือเล็ก ทำท่ารังเกียจกลาย ๆ เมื่อข้อมือได้รับอิสรภาพ พิชชาก็ฝ่ากระแสคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งแรงขึ้นทุกทีกลับขึ้นฝั่ง โดยมีคุณหมอธนาเดินตามมาติด ๆ หญิงสาวทิ้งตัวลงที่ผืนทราย แขนทั้งสองข้างทิ้งน้ำหนักไปด้านหลัง มองออกไปยังท้องทะเลอันมืดมิด “อย่าบอกว่าจะนั่งชมวิวต่อนะ” เธอเปียกไปทั้งตัวก็ควรจะรีบกลับไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ใช่มานั่งตากลมอยู่แบบนี้ “ใช่” หญิงสาวทอดมองออกไปยังเบื้องหน้าอย่างคนที่ยังคิดไม่ตก ก่อนจะนึกสงสัยถึงการมาของอีกฝ่าย “ตัวเองอ่ะ มาที่นี่ได้ไง” คนถูกถามชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง เพราะไม่ได้คิดหาคำตอบไว้ล่วงหน้า “มาสัมมนา นึกขึ้นได้ว่าเธอฝึกงานอยู่แถวนี้เลยแวะมาดู” ดีที่เขาหัวไว รีบเอาเรื่องงานมาอ้าง “แล้วนี่สัมมนาเสร็จแล้วเหรอ ถึงมีเวลามาหาคนอื่น” “อืม” เขาตอบสั้น ๆ ปกติพิชชาไม่มีนิสัยเซ้าซี้ ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด แม้จะมีแสงไฟเล็ก ๆ จากร้านอาหารที่อยู่ห่างออกไปสาดส่องมา แต่รอบข้างก็ยังถูกความมืดมิดเข้าปกคลุม ได้ยินเสียงเกลียวคลื่นที่ม้วนตัวเข้าหาฝั่ง ใบหน้าและเส้นผมของทั้งสองถูกสายลมปะทะ พิชชารู้สึกหนาวขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นมากอดตัวเองไว้ “หนาวล่ะสิ” น้ำเสียงของเขาไม่ใกล้เคียงคำว่า ‘เป็นห่วง’ ค่อนไปทางสมน้ำหน้าเธอมากกว่า “เปล่าสักหน่อย อยากกอดตัวเองไม่ได้ไง” คนตัวเล็กเถียงไปทันควัน อีกฝ่ายก็แค่นหัวเราะเบา ๆ หลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างก็สงบปากสงบคำ ปล่อยให้ความคิดบางอย่างเข้าเกาะกุมจิตใจของตัวเอง จนความเงียบงันครอบคลุมอยู่รอบ ๆ ตัวพวกเขา เนิ่นนานกว่าใครคนหนึ่งจะทำลายความเงียบนั้นลง “ฟินน์โง่มากใช่ไหม?” ต่อให้เธอไม่ได้ลงรายละเอียดไปในคำถาม ธนาย่อมรู้อยู่แล้วว่าเธอหมายถึงเรื่องที่ถูกแทนไทหลอก “จะเอาคำตอบจากใจหรือเอาแค่ปลอบใจล่ะ?” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในท่าเดียวกันให้คำตอบโดยที่ไม่ได้หันไปมองเธอ “ทั้งสองอย่าง” หากเป็นในเวลาปกติ เขาคงมองว่าพิชชาเอาแต่ใจ แต่ตอนนี้เขากลับคิดว่า คำขอของเธอยังน้อยไปด้วยซ้ำ “โง่ แต่ไอ้แทนไทมันโง่กว่าเธอเยอะ เรียกว่าโคตรโง่เลยล่ะ” พิชชาหลุดขำออกมา ไม่คาดคิดว่าเธอจะได้ยินประโยคนี้ นั่นสิ ทำไมเธอถึงคิดไม่ได้ จริงที่สุด! ถึงเธอจะโง่แต่ไอ้สารเลวนั่นโง่กว่าเธอเป็นร้อยเท่าพันเท่า เพราะคนฉลาดที่ไหนจะปล่อยให้ผู้หญิงที่ทั้งสวย ทั้งรวยแถมยังหุ่นเอ็กซ์อย่างเธอหลุดมือ “แล้วคนเราต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะลืมเรื่องแย่ ๆ ในชีวิตไปได้อ่ะ” ยอมรับว่าถ้อยคำที่แสนจะจริงใจของเขาช่วยปลอบปลอบประโลมเธอได้บ้าง อย่างน้อยก็ดีกว่าคิดอะไรอยู่ตามลำพัง แต่เรื่องนี้ก็ยังเป็นปัญหาสำหรับเธออยู่ เพราะการเลิกราและเลิกรัก ไม่ได้แปลว่าจะลืมได้ในวันเดียว ชายหนุ่มเว้นจังหวะพูดไว้ครู่หนึ่งก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สมองคนเรามักจะจดจำความทุกข์ได้มากกว่าความสุขอยู่แล้ว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่ต้องพยายามลืมอะไรหรอก เพราะเราควรใช้ความพยายามกับเรื่องหรือคนที่เราให้ค่าเท่านั้น” แม้จะมองไม่เห็นสายตาของอีกฝ่ายในขณะที่พูดออกมา แต่พิชชาก็รับรู้ได้ถึงความหวังดีที่แฝงอยู่ในถ้อยคำพวกนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD