“โอม มานั่งพักได้แล้วเดี๋ยวก็เป็นลมตายพอดี”ผู้เป็นพี่สาวตะโกนบอกน้องชายวัยสิบห้าที่กำลังพรวนดินอย่างขยันขันแข็ง
“พี่อันพักคนเดียวเถอะ เดี๋ยวน้องจะพยายามพรวนดินให้เสร็จเราจะได้กลับบ้านไวๆ”
“แต่ว่าโอมยังไม่ได้พักเลยทั้งที่พี่มานั่งพักแล้วตั้งสองรอบ”
“ก็พี่เป็นผู้หญิงส่วนผมเป็นผู้ชาย อีกอย่างผมไม่อยากให้พี่เหนื่อย”
ผู้เป็นพี่สาวทราบซึ้งในความเสียสละของน้องชายดังนั้นเธอจึงจัดสินใจออกไปช่วยผู้เป็นน้องเพื่อที่จะให้งานเสร็จไวๆแล้วน้องชายของเธอจะได้พัก และสองพี่น้องก็ช่วยกันทำงานกลางทุ่งนาโดยปราศจากเงาของผู้เป็นแม่ที่วันๆเอาแต่กินเหล้าและออกไปเล่นการพนันจนสองพี่น้องต้องดูแลกันเพียงลำพัง
“ถ้าพี่ไม่เอาอนาคตตัวเองมาทิ้งไว้กับผม ป่านนี้พี่คงได้ไปเป็นดาราไปแล้ว”ผู้เป็นน้องอดไม่ได้ที่จะกล่าวโทษตัวเองเมื่อเห็นว่าพี่สาวมีโอกาสหลายครั้งที่จะได้ไปเป็นดาราแต่พี่สาวของเขากลับปฏิเสธ
“การจะเป็นดาราได้มันไม่ง่ายขนาดนั้น อีกอย่างเรามีกันแค่สองคนพี่ไม่อยากทิ้งโอมไว้กับแม่ ถ้าโอมอยู่กับแม่พี่กลัวว่าโอมจะไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด”ส่วนผู้เป็นพี่สาวก็ให้เหตุผลกับน้องชายอย่างต้องการให้น้องชายเข้าใจเธอ
“ไม่หรอกพี่ ผมไม่มีทางทำตัวเหมือนแม่”
“ทุกวันนี้โอมยังมีพี่ แต่ถ้าหากวันใดที่พี่ไม่อยู่โอมอาจจะรู้สึกโดดเดี่ยวแล้วก็ต้องหาเพื่อน แล้วเด็กวัยรุ่นแถวนี้ก็มีแต่ขี้เหล้าขี้ยา โอมอาจจะปฏิเสธเพื่อนได้ในช่วงแรกๆแต่คงปฏิเสธไม่ได้ตลอดหรอก”
“มันก็อาจจะจริงอย่างที่พี่ว่า แต่ถึงยังไงโอมก็ไม่อยากเป็นตัวถ่วงของพี่”
“ตอนที่พี่รู้ว่าแม่กำลังตั้งท้องโอมพี่โกรธแม่มากเพราะตอนนั้นอยากเป็นลูกคนเดียว แต่พอเราสองคนเติบโตมาด้วยกันพี่กลับรู้สึกว่าโอมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตพี่ โอมเป็นกำลังใจเดียวที่ทำให้พี่มีแรงผลักดันในการอยากเรียนสูงๆแล้วมีงานดีๆทำเพื่อที่จะได้มีเงินส่งโอมเรียนหนังสือ พี่อยากเห็นโอมมีอนาคตที่ดี”ผู้เป็นพี่สาวแสดงเจตนาดีที่มีต้องน้องชายอย่างต้องการให้เขาเห็นคุณค่าในความพยายามที่ผ่านมาของเธอ
ส่วนเด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ทราบซึ้งในความเสียสละของพี่สาวซึ่งมีอายุห่างกันเจ็ดปี
“แต่ว่าตอนนี้พี่ก็เรียนจบแล้วนี่”
“พี่ว่าจะหาสมัครงานแถวๆบ้านเรานี่แหละ จะได้ประหยัดค่าที่พักและเราก็จะได้อยู่ด้วยกัน พี่เองก็ต้องดูแลแม่ด้วย ส่วนโอมปีหน้าก็จะเข้ามอปลายแล้วนี่ว่าแต่เตรียมตัวบ้างหรือยัง”
“ผมอ่านหนังสือทุกวันเลยพี่ และหวังว่าคงสอบเข้าห้องกิ๊ฟได้”
“โอมหัวดีกว่าพี่ตั้งเยอะพี่เชื่อว่าโอมทำได้อยู่แล้ว”
“พี่อันคิดว่าผมจะทำได้จริงๆหรอ”
“ได้อยู่แล้วว่าที่วิศวกร ผู้เป็นพี่สาวกล่าวพร้อมกับส่งยิ้มให้น้องชาย”
“อย่าพูดแบบนั้นสิผมเขิน”เด็กหนุ่มมีท่าทีเขินอายเล็กน้อยเมื่อโดนแซวโดยผู้เป็นพี่สาว
ชายหนุ่มผู้มีความฝันอยากจะเป็นวิศวกร และความฝันของเขาคงไม่มีวันเป็นจริงถ้าหากไม่มีผู้เป็นพี่สาวคอยสนับสนุน เมื่อไหร่ที่ชายหนุ่มนึกถึงผู้เป็นพี่สาวไฟในการแก้แค้นของเขาก็ค่อยๆทวีคูณ
….
“เดือนหน้าก็เข้าสู่ฤดูฝนละ ดังนั้นพรุ่งนี้เธอต้องช่วยฉันซ่อมแซมหลังคาบ้าน”ชายหนุ่มกล่าวกับหญิงสาวในขณะที่กำลังนั่งทานข้าวตอนใกล้ค่ำ
“พรุ่งนี้นายไม่ออกไปทำงานหรอ”ส่วนหญิงสาวที่ได้ยินดังนั้นก็ถามชายหนุ่มด้วยความสงสัย
“ไม่ ฉันจะเข้าไปในเมืองอีกทีวันมะรืน”
คำตอบของชายหนุ่มทำเอาหญิงสาวเกิดความรู้สึกสับสนในใจขึ้นมาว่าเธอควรจะดีใจหรือเสียใจกันที่จะต้องอยู่กับเขาทั้งวันในวันพรุ่งนี้
“นายลางานสองวันติดเลยหรอ”
“ที่ถามคือกลัวจะอู้งานไม่ได้เหมือนตอนที่เธออยู่คนเดียวสินะ”
“ฉันเปล่านะ แค่ถามเฉยๆ”
“ยิ่งเธอไม่ต้องการเห็นหน้าฉัน ฉันยิ่งอยากอยู่รังควานเธอทุกวัน”ชายหนุ่มหันมาตอบหญิงสาวอย่างต้องการกวนประสาทเธอ
“อ้าว แล้วไม่คิดจะทำการทำงานเพื่อหาเงินเลยรึไง”
“ไม่อยากหา เพราะฉันสามารถอยู่ที่นี่ได้โดยที่ไม่ต้องมีเงิน”
“แต่ว่านายมีภาระหน้าที่ที่ต้องดูแลฉัน ถ้าไม่มีเงินก็ส่งตัวฉันกลับไปหาพ่อ”
“ไม่มีทาง เธอต้องอยู่กับฉันที่นี่จนกว่าฉันจะพอใจแล้วจะส่งกลับไปหาพ่อเธอเอง”พูดจบเขาก็ทานข้าวต่อ และพอทั้งสองทานข้าวเสร็จหญิงสาวก็ทำหน้าที่นำถ้วยชามไปล้างเหมือนกับทุกๆวัน
….
เช้าวันต่อมา..
“กรี๊ด!”เสียงกรีดร้องดังพร้อมกับร่างของหญิงสาวที่กำลังตกลงมาจากบันไดสไลด์หกขั้น ส่วนทางด้านชายหนุ่มที่เห็นดังนั้นจึงรีบปีนลงมาจากหลังคา
“โอ้ย!! เจ็บๆ”หญิงสาวร้องโอดโอยด้วยความรู้สึกเจ็บเมื่อร่างของเธอตกกระแทกกับพื้นดิน
“เป็นอะไรมากมั้ยเจ็บตรงไหนบ้าง”ชายหนุ่มรีบถามไถ่อาการของหญิงสาวด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“เจ็บข้อเท้ากับเอว”เธอกล่าวกับเขาในขณะที่พยายามประคองร่างตัวเองให้ลุกขึ้นยืน
“บอกเจ็บข้อเท้าแล้วจะลุกเองเพื่อ”ชายหนุ่มต่อว่าหญิงสาวแล้วส่ายหน้าก่อนที่เขาจะอุ้มเธอขึ้นในท่าเจ้าสาว
“ทำอะไรของนาย!”ด้วยความที่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัวเธอจึงรีบโอบไหล่เขาไว้แน่นอย่างกลัวตก และนั่นก็ทำให้ใบหน้าของทั้งเกือบแนบชิดกัน
“ก็จะพากลับขึ้นไปบนห้องไง”ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับจ้องมองใบหน้ารูปไข่ จนหญิงสาวรีบหลบสายตาด้วยความเขินอาย
เมื่อถึงห้องชายหนุ่มก็รีบวางร่างเล็กที่ได้รับบาดเจ็บไว้ตรงแคร่ไม้ไผ่ จากนั้นเขาก็ไปหยิบผ้าผืนบางแล้วห่อน้ำแข็งเอาไว้ก่อนที่จะค่อยๆประคบข้อเท้าข้างที่พลิก
“โอ้ยๆๆเจ็บ..”หญิงสาวนั่งร้องโอดโอยด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวอยู่บนแคร่ไม้ไผ่โดยที่ใช้มือข้างนึงยันแคร่ส่วนอีกข้างกำลังจับตรงเอวที่ได้รับบาดเจ็บ
“ขอเท้าพลิกนี่แบบนี้ฉันคงต้องลาออกมาดูแลเธอสินะ”ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“พาฉันไปหาหมอเถอะ ให้ฉันพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลดีกว่าเดี๋ยวออกค่าใช้จ่ายเองจะได้ไม่รบกวนนาย”
“อย่าบอกนะว่านี่เป็นแผนหาโอกาสหนี”ชายหนุ่มหยุดประคบเย็นแล้วเงยหน้ามองหญิงสาวด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ฉันไม่โง่ทำอะไรที่มันเสี่ยงพิการหรอกนะ อีกอย่างนายเป็นคนใช้ให้ฉันเอานั่นเอานี่ขึ้นไปให้เอง”
“ก็ดีแล้วที่ไม่พิการ”พูดจบเขาก็เริ่มประคบเย็นต่อ
“โอ้ย!เบาๆหน่อยสิ ฉันเจ็บ”
“งั้นกินยาแก้ปวดไปก่อนเดี๋ยวไปเอามาให้”
“ไปหาหมอไม่ได้หรอ?”
“กินซะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะเข้าเมืองไปหาซื้อยืดพันเคล็ดมาให้”ชายหนุ่มกล่าวกับหญิงสาวพร้อมกับยื่นยาและน้ำให้กับเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ฉันไม่คิดหนีหรอก”หญิงสาวกล่าวกับชายหนุ่มก่อนที่เธอจะหยิบยาใส่ปากตามด้วยน้ำ
“ฉันจะขึ้นไปซ่อมหลังคาต่อ เธอเอาน้ำแข็งนี่ประคบเอวเองนะ”ชายหนุ่มยื่นน้ำแข็งที่ถูกห่อด้วยผ้าให้กับหญิงสาวก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไป