ตอนที่ 2 ชาตินี้ก็ฝากด้วยนะ

1448 Words
ไป๋ซูเม่ยเดินออกมาจากกระท่อม สายลมแผ่วเบาที่พัดมายังร่างของสตรีที่นางพึ่งจะมาสวมร่างของนางให้ความรู้สึกราวกับไม่ใช่ตัวเอง เมื่อเดินไปถึงขอบเนินเขาและเริ่มหลับตาลง ค่อย ๆ กำหนดลมหายใจและเรียกพลังปราณออกมาและปล่อยออกมา “เฮ้อ…คงต้องเร่งฟื้นฟูสินะ ร่างนี้แม้ว่าจะมีความรู้มากมายเกี่ยวกับยาแต่ไร้ซึ่งวรยุทธ์ ยังไม่ต้องนับไปถึงการแก้แค้นเลย แค่เดินทางไปเมืองหลวงก็คงเกือบตายแล้ว” ไป๋ซูเม่ยเริ่มนั่งกำหนดลมปราณและฝึกวิชาทบทวนวรยุทธ์อยู่ราว ๆ เกือบสองชั่วยามจนเริ่มปรับสภาพร่างกายเข้ากับร่างใหม่ได้มากขึ้น นางสามารถระเบิดหินที่อยู่ใกล้ ๆ ได้และเริ่มใช้กิ่งไม้มาฝึกวิชาดาบจนสำเร็จกระบวนท่าไม้ตายที่นางเคยฝึกมาก่อน “ตูม!!!” ก้อนหินตรงหน้าและกิ่งไผ่ที่ถูกตัดขาดด้วยกิ่งไม้ในมือนางหลังจากที่นางใช้วิชาขั้นสุดท้ายกระเด็นไปทุกทิศทุกทาง “พลังปราณและวิชายุทธ์ข้ากลับคืนมาหมดแล้ว แต่ก็ยังเหนื่อยง่ายอยู่ สตรีผู้นี้อ่อนแอถึงเพียงนี้เชียวหรือเหตุใดจึงได้เหนื่อยง่ายถึงเพียงนี้กันนะ” นางเดินกลับไปยังลำธารใกล้ ๆ เมื่อก้มหน้าลงไปส่องดูเงาที่สะท้อนในน้ำจึงได้เห็นชัด ๆ ใบหน้าของไป๋ซูเม่ยงดงามไม่มีที่ติ แต่ทว่า…. “แผลเป็นหรือปานกันล่ะนี่ มิน่าเล่าเจ้าถึงได้หนีมาอยู่ที่ห่างไกลถึงขนาดนี้” แม้ว่านางจะงดงามราวกับสตรีล่มเมืองแต่กลับมีแผลเป็นที่แก้มซ้าย ซึ่งก่อนหน้านี้คงจะใช้ผ้าขาวปิดบังเอาไว้เพราะนางพึ่งใช้ผ้านั่นไปหยิบแมงมุมขึ้นมาจากพื้นจึงมิได้สวมมันอีก “โชคดีแค่เป็นแผลเท่านั้น ดูเหมือนว่านางก็น่าจะรักษามาก่อนแล้ว เรื่องนี้แค่ใช้กำลังภายในจัดการขับพิษนี่ออกก็หายแล้วมิใช่หรือ ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับข้าเลย” ว่าแล้วนางก็เริ่มจัดการกับแผลที่แก้มของนางทันทีแม้ว่าจะเป็นแผลที่มิได้ดูน่าเกลียดแต่หากจะทำให้สมบูรณ์แบบ ในชาตินี้นางจะต้องเป็นสตรีที่ผู้ใดพบเห็นจะต้องหันมองจนเหลียวหลังไม่เหมือนชาติที่แล้วที่นางเกิดมาหน้าตาธรรมดาและไม่เคยได้รับการใส่ใจจากบุรุษใดนอกจากองค์ชายผู้นั้น.... “ไป๋ซูเม่ย…ชาตินี้ก็ฝากด้วยนะ…..เสวียนอวี่…..ข้ากลับมาเอาชีวิตเจ้าแล้ว” “คุณหนูเจ้าคะ เฮ้อ…หาท่านพบเสียที” อาหยงเดินขึ้นเขามาเพื่อตามหาคุณหนูของนางเมื่อไป๋ซูเม่ยหันไปมองเห็นนางก็รู้ว่าเรื่องนี้นางอาจจะทำได้ไม่รวดเร็วนักเพราะนางมิได้ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว การเดินทางไปที่เมืองหลวงก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก “อาหยงเจ้าตามข้ามาทำไมหรือ” “ไป…ไปกินข้าวเถอะเจ้าค่ะ ข้าพึ่งทำอาหารเสร็จ กินตอนร้อน ๆ เจ้าค่ะ” ไป๋ซูเม่ยยิ้มออกมาด้วยความอบอุ่นใจ นางไม่เคยมีผู้ใดที่คอยดูแลและคอยเป็นห่วงเช่นที่อาหยงทำให้ไป๋ซูเม่ยเช่นนี้มาก่อน นับจากนี้ไปนางจะเป็นไป๋ซูเม่ยคุณหนูของอาหยงและจะดูแลนางอย่างดีที่สุด กระท่อมไม้ไผ่ “อาหยงข้าคิดว่าเราต้องหาเงิน” “หาเงินหรือเจ้าคะ หาไปทำไมเจ้าคะ” “ข้าอยากไปเมืองหลวง” “อะไรนะเจ้าคะคุณหนู” “อื้ม อาหารของเจ้าอร่อยมาก ๆ เลย เปิดร้านขายได้เลยนะนี่” “ไม่ ๆ เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะคุณหนูท่านอย่าพึ่งเปลี่ยนเรื่องสิ ไปเมืองหลวงอะไรกันเหตุใดจึงเร่งด่วนเช่นนี้เจ้าคะแม้ว่าคุณท่านจะใจร้ายที่ไม่ส่งคนมาดูแลท่านแต่ก็มิได้ละเลยนะเจ้าคะ นี่คือตั๋วเงินที่นายท่านฝากข้าให้เอาไว้ดูแลคุณหนู” “หืม…เจ้าว่าอย่างไรนะ” “ตั๋วเงินเจ้าค่ะ นายท่านโกรธคุณหนูได้ไม่นานหรอกคุณหนูก็ทราบ ท่านทะเลาะกับนายท่านทีไรก็หนีมาอยู่ที่นี่…คุณหนูเจ้าคะ มีอะไรหรือเจ้าคะ” ไป๋ซูเม่ยนำตั๋วเงินนั้นมานั่งนับดู นึกไม่ถึงว่าไป๋ซูเม่ยจะมีบิดาที่ดีและยังพอมีความเป็นพ่ออยู่ ตั๋วเงินนี่มีจำนวนไม่น้อยเลย “ห้าพันตำลึง ยอดเยี่ยมไปเลยข้ารวยแล้ว” “รวย?? คุณหนู ท่านก็ร่ำรวยอยู่แล้วนี่เจ้าคะ นี่ก็เป็นเครื่องประดับของท่าน ที่จวนก็…..” “ที่จวนงั้นหรือ อาหยงเจ้าบอกข้ามาทีสิว่าจวนของพวกเราอยู่ที่ใด ไกลจากที่นี่มากหรือไม่” “ก็…แม้จะไกลแต่หากจ้างรถม้าไป….” “เช่นนั้นเจ้าจัดการให้ข้าทีนะ ข้าจะไปดูที่จวนสักหน่อย” “คุณหนู เหตุใดท่านไม่กลับไปที่จวนเลยเล่าเจ้าคะ เงินของท่าน…” “เจ้าก็บอกมาด้วยว่าข้าเก็บเงินและทรัพย์สินส่วนตัวเอาไว้ที่ใด” สองคืนต่อมา / จวนสกุลไป๋ “โอ้โหไป๋ซูเม่ย…..นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะร่ำรวยมากมายเช่นนี้ แต่หากเอาไปหมดนี่คงลำบากแน่” นางลงเขามาตอนบ่ายเพื่อดูตำแหน่งของจวนสกุลไป๋ในเมืองหยางโจว และคืนนี้ตอนที่อาหยงหลับสนิทแล้วนางจึงลงเขามาที่นี่เพียงลำพังอีกครั้งเพื่อจะมา “ขโมยของ” ของตัวเองแต่เมื่อนางจะกลับก็ได้ยินเสียงคนสองคนเดินคุยกันเข้ามาในห้องนางจึงต้องหาที่หลบ “มีอย่างที่ไหนกันจนป่านนี้ยังไม่ยอมกลับจวน” “นายท่าน คุณหนูมีนิสัยดื้อรั้นแต่ก็มิใช่ผู้ที่….ไม่รู้ความนะขอรับเพียงแต่ว่า....” “นางดื้อเกินไปแล้ว เพียงแค่ข้ารับอนุเข้ามาใช่ว่าข้าอยากจะรับเสียหน่อยแต่ท่านอ๋องขอร้องให้รับพวกนางสองแม่ลูกเอาไว้จะให้ข้าทำเช่นไรเล่า” “ที่แท้ท่านพ่อของนางมิได้อยากรับอนุหรอกหรือ แล้วทะเลาะกันด้วยเรื่องเพียงเท่านี้เองนะหรือ” “แต่ว่านายท่านก็ทราบดีว่าแม่นางหร่วนผู้นั้นเป็นคนทำให้ใบหน้าของคุณหนูเป็นรอยแผล ดังนั้นนางจึงไม่พอใจ” ไป๋ซูเม่ยรู้สึกราวกับแก้มที่เคยมีแผลเจ็บขึ้นมาเล็กน้อยทั้ง ๆ ที่นางใช้วิชาและปราณขับออกไปจนหมดแล้ว “ที่แท้นางโกรธจนหนีออกจากจวนเพราะเรื่องนี้นี่เอง บิดานางรับศัตรูที่ทำร้ายนางเข้ามา” “แต่นางก็บอกแล้วว่ามันเป็นเพียงอุบัติเหตุและใช่ว่านางจะเป็นผู้ทำเสียเมื่อใดกัน บุตรสาวนางต่างหากที่เผลอทำยานั่นราดไปโดนหน้าของซูเม่ย ข้าเองก็กำลังรักษาให้นางอยู่แผลก็ใกล้จะหายแต่ดูที่นางทำสิ ไม่ยอมรักษาให้หายก่อนแต่กลับหนีออกไปมันใช้ได้ที่ไหนกัน!!” “ไร้สาระจริง ๆ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้ารีบหาทางออกจากจวนดีกว่า” นางทำในทันทีเมื่อพวกเขาเดินออกไปแล้ว นางกลับมาถึงกระท่อมอาหยงยังคงหลับสนิทอยู่ ทรัพย์สินที่นางได้มารวมกับที่อาหยงนำมาให้มากพอที่จะให้พวกนางสองคนเดินทางไปเมืองหลวงได้แล้วแต่ว่าตอนนี้นางคงต้องหาข้อมูลของคนที่นี่รวบรวมให้ได้มากที่สุดก่อนจะเดินทางไปที่เมืองหลวง สิบวันถัดมา “คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะไม่กลับจวนจริง ๆ หรือเจ้าคะ” “ยัง ข้าจะเดินทางไปเมืองหลวง” “คุณหนูแต่ว่าหากไปที่นั่นท่านจะต้องขออนุญาต….คุณหนูท่านหยุดทำไมเจ้าคะ” “เงียบก่อน ด้านหน้านั้นมีเสียง อาจจะเป็น…” “เสือ!! คุณหนูเจ้าคะ ที่นี่มีเสือหรือไม่” “เจ้าเงียบก่อน!! อย่าเสียงดังและอยู่นิ่ง ๆ มันไม่ทำอะไรเจ้าหรอกมีข้าอยู่ที่นี่เจ้าไม่ต้องกลัว” “คุณ…คุณหนู อย่าเข้าไปเจ้าค่ะ” ไป๋ซูเม่ยค่อย ๆ เดินเข้าไปยังพุ่มไม้ที่มีบางอย่างทำให้ขยับอยู่ตรงหน้า นางหรี่ตาเล็กน้อยเพื่อเพ่งมองนางมั่นใจว่าไม่ใช่สัตว์ร้ายเพราะหากว่าเป็นเสือหรือหมาป่าจะไม่มีเสียงเช่นนี้ พวกมันจะมีเสียงคำรามทุ้มต่ำออกมาเล็กน้อยก่อนจะกระโจนใส่เหยื่อ แต่นี่เหมือนจะไม่ใช่สัตว์….. “คนงั้นหรือ…..อาหยงเร็ว ๆ เข้าที่นี่มีคนบาดเจ็บ เขาถูกธนูยิง!!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD