สิ่งแรกที่ฉันห่วงไม่ใช่ตัวเองแต่คืออีกหนึ่งชีวิตในท้องต่างหาก เขาบริสุทธิ์และไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย ฉันไม่อยากเสียเขาไปในตอนนี้
(นิตา! นิตา! เวรเอ้ย!!)
เสียงคุณพศิณลอดออกมาจากโทรศัพท์ที่โทรออกค้างไว้ ฉันเพิ่งได้ยินเขาสบถและร้อนรนขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลยแต่ตัวเองกลับไม่มีเสียงที่จะเปล่งหาเขาแม้แต่นิดเดียว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่ฉันรู้สึกว่ามันนานแสนนานกว่าแต่ล่ะวินาทีจะผ่านพ้นไปได้ ความเจ็บปวดในตอนแรกหายไปเหลือเพียงความชาที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ฉันไม่รับรู้ถึงสายฝนด้วยซ้ำแม้มันจะตกกระทบหน้าอย่างแรงก็ตามที
ตอนนี้แม้กระทั่งน้ำที่ไหลผ่านใบหน้าฉันก็ไม่รู้แล้วว่ามันคือเลือดหรือฝนกันแน่ ทุกอย่างเริ่มพร่าเลือนลงไปทีล่ะนิด สติของฉันเริ่มหายไป
“อึก....”
อย่าว่าแต่ขยับตัวเลยแม้กระทั่งจะเปิดปากเพื่อพูดฉันยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันเป็นห่วงลูกมากไม่รู้เลยว่าเขาปลอดภัยดีไหม ถ้าเขาเป็นอะไรไปฉันคงมีชีวิตอยู่ต่อไม่ไหว
เอี๊ยดดดดด!!!
ฉันได้ยินเสียงล้อรถเบรกลากยาวไปตามท้องถนนแล้วตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าดังลั่นจนหูอื้อไปหมด แต่ไม่ว่าตอนนี้ใครจะมาก็ไม่สำคัญทั้งนั้น
ฉันไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วจริง ๆ มันเหนื่อยเกินไปแล้ว.....
“นิตา!!”
เธอได้ยินเสียงที่คุ้นเคยกำลังตะโกนเรียกชื่อเธอแข่งกับเสียงฝนแต่ดวงตาเธอกลับลืมไม่ขึ้น ศีรษะเล็กตกลงข้างตัวพร้อมกับประตูรถพัง ๆ ที่ถูกกระชากออกด้วยแรงมหาศาล
“นิตา! อดทนไว้ก่อนนะครับ”
พศิณที่ตอนนี้เปียกปอนไปทั้งตัวพยายามอุ้มเธอออกมาจากซากรถ รอยเลือดที่เปื้อนตามใบหน้าและร่างกายของเธอทำให้หัวใจเขาหล่นไปอยู่ตาตุ่ม
“อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะครับ! อดทนไว้ก่อนนะนิตา ผมขอร้องล่ะ!”
เธอไม่มีสติเลยตอนที่เขาเอาตัวเธอออกจากรถมาได้ ใบหน้าสวยขาวซีดเพราะฝนและเสียเลือดไปมาก พศิณไม่รอช้าเขาอุ้มเธอไปขึ้นรถแล้วขับออกมาด้วยความเร็วสูง
“อดทนไว้ก่อนนะครับ!”
เขาเอาแต่พูดประโยคนี้ซ้ำ ๆ ตั้งแต่เริ่มขับรถจนมาถึงโรงพยาบาล ที่นี่เพื่อนของเขาเป็นเจ้าของพศิณเลยค่อนข้างมีอภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่น
“ฝากเพื่อนผมด้วยนะครับ”
เขาบอกกับหมอที่จะทำการรักษาเธอด้วยน้ำเสียงร้องขอ ดีที่ก่อนหน้านี้เขาโทรมาบอกเพื่อนไว้ทางโรงพยาบาลจึงได้จัดหมอที่ดีที่สุดไว้ให้
“ฉันจะทำให้ดีที่สุดค่ะ”
หมอรับปากเขาก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องผ่าตัด พศิณนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัดพลางภาวนาอยู่ในใจ
“อย่าเป็นอะไรไปนะครับ”
»»»»««««
อากาศในห้องผ่าตัดเย็นเยียบด้วยเครื่องปรับอากาศและกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่ลอยอบอวล ร่างของนิตานอนอยู่บนเตียงผ่าตัด มีสายระโยงระยางที่ถูกต่อเอาไว้เพื่อช่วยชีวิตเธอเต็มไปหมด
ชุดคนเจ็บถูกตัดออกด้วยกรรไกรผ่าตัด เผยให้เห็นรอยแผลฉกรรจ์บนหน้าท้องและรอยช้ำกระจายทั่วร่างกาย ทั้งเศษกระจกบาดและร่องรอยที่เกิดจากแรงอัดกระแทกอย่างรุนแรง
“ผู้ป่วยหญิง อายุยี่สิบสี่ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์บาดเจ็บสาหัสหลายจุด มีอาการสัญญาณชีพไม่คงที่และท้องอ่อน ๆ ประมาณ 10 สัปดาห์! ขอมีดผ่าตัดค่ะ”
เสียงแพทย์เจ้าของไข้ดังผ่านหน้ากาก เธอมองจอมอนิเตอร์ด้วยสายตาเคร่งเครียด การผ่าตัดครั้งนี้ยากขึ้นเพราะเธอกำลังตั้งครรภ์
“ชีพจรต่ำ ความดันตก! เตรียมเปิดช่องท้อง!”
“รับทราบ! มีเลือดออกในช่องท้องจำนวนมากค่ะ!”
เสียงเครื่องดูดเลือดเริ่มทำงานอย่างเร่งรีบ แพทย์หญิงใช้อุปกรณ์แหวกผิวเนื้อที่เปื้อนเลือดออกอย่างระมัดระวัง ขณะที่พยาบาลอีกคนกำลังฉีดสารกระตุ้นหัวใจเข้าเส้นเลือดดำ
“เราต้องเลือกระหว่างแม่กับเด็ก...หัวใจแม่เริ่มแผ่วแล้ว...!”
เสียงเคร่งขรึมของหมออีกคนดังขึ้นเบา ๆ ในวงในของทีมผ่าตัด ทุกคนเงียบเพียงเสี้ยววินาทีก่อนเสียงตัดสินใจเด็ดขาดดังขึ้นจากหัวหน้าทีมแพทย์
“ช่วยแม่ก่อน! เด็กยังเล็กเกินไป...อย่าให้เธอจากไปทั้งสองชีวิต!”
มือนับสิบขยับประสานงานกันรวดเร็ว เสียงเครื่องมือกระทบกันเบา ๆ ร่างของนิตานอนแน่นิ่งมีเพียงเครื่องช่วยหายใจที่ยังคงสูบลมเข้าออกให้เธออย่างยากลำบาก
เลือดทะลักออกจากตับด้านขวาที่ฉีกขาด เสียงเต้นของหัวใจเด็กในมดลูกเบาลงทุกขณะ จอมอนิเตอร์ส่งเสียงเตือนดัง “ปี๊บ ๆ ๆ” อย่างต่อเนื่อง
“แม่ของเด็กยังไม่ตื่นเลย...” หมออีกคนพูดเสียงสั่น มือยังไม่หยุดเย็บหลอดเลือดที่ขาด
การผ่าตัดกินเวลานานเกินไปจนนิตาเริ่มทนรับไม่ไหว หัวใจของเธอเริ่มเต้นอ่อนลงเรื่อย ๆ เครื่องกระตุ้นหัวใจถูกนำมาใช้ปั๊มหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงร้องว่า “หนึ่ง สอง สาม...ช็อต!” ดังก้องในห้องผ่าตัด แต่ร่างของเธอกลับนิ่งสงบลงเรื่อย ๆ
“ชีพจรกำลัง....แผ่วลงแล้วค่ะ”
“อย่าเพิ่งท้อนะคะทุกคน เราจ้องช่วยเธอเอาไว้ให้ได้ค่ะ”
ในห้วงความคิดของนิตากำลังนึกถึงชิน ผู้ชายที่เป็นรักแรกของเธอ ภาพความทรงจำที่เคยยิ้มและหัวเราะด้วยกันหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ความสุขในวันวานที่เธอคงไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันอีกแล้ว
ลาก่อนคะพี่ชิน นิตาดีใจที่ครั้งหนึ่งนิตาเคยรักพี่
รักแรกและคงเป็นรักสุดท้ายของนิตาด้วย
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊---------
ร่างบางนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงบนเตียงผ่าตัด หน้าจอแสดงสัญญาณชีพเป็นเส้นตรงยาวจนสุดขอบจอ หางตาคู่สวยมีหยาดน้ำสีใสไหลออกมาพร้อมกับจังหวะหัวใจที่หยุดเต้นลง
“....หัวใจเธอหยุดเต้นแล้ว...ไม่มีการตอบสนอง...”
ความเงียบปกคลุมทั่วห้องในวินาทีนั้น เสียงเครื่องวัดชีพจรกลายเป็นเสียงยาวเหยียด ราบเรียบ ราวกับจะประกาศให้โลกรู้ว่า....เธอจากไปแล้ว
จากไปพร้อมกับทารกน้อยที่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะลืมตามาดูโลกด้วยซ้ำ
แพทย์ถอดถุงมือออกช้า ๆ เหงื่อเปียกชุ่มหน้าผากทั้งที่อากาศเย็นจัด ชุดผ่าตัดเปรอะด้วยเลือดจำนวนมากจนแทบจำสีเดิมของชุดไม่ได้ ดวงตาของแพทย์หญิงร้อนผ่าวในขณะที่เธอพยักหน้าเบา ๆ เพื่อให้พยาบาลดึงผ้าขาวคลุมใบหน้าของหญิงสาว
“....เวลาเสียชีวิต.....”
»»»»««««
ผมยืนสบถอยู่หน้าบ้านเพราะไม่สามารถออกไปตามเธอได้ รถของผมถูกเธอขับออกไปด้วยความเร่งสูงพร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายลงมา
“เวรเอ้ยยยย”
ผมโกรธจนขาดสติและเผลอไล่เธอไปตาย ผมมันโง่! โง่ยิ่งกว่าความซะอีก! แต่ตอนนี้ผมอยากจะตามเธอไปแล้วคนที่ช่วยได้ก็มีแค่ไอ้เจตต์เท่านั้น
ไวเท่าความคิดผมรีบกดโทรหามันทันทีพร้อมทั้งบอกให้มันมารับ บ้านของมันไม่ได้อยู่ไกลมากคงใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่และมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ไม่เกินสิบนาที่เจตต์ก็ขับรถมาจอดเทียบหน้าบ้าน
“มึงมันภาระ ไอ้ชิน”
พอขึ้นมาบนรถมันก็เปิดปากด่าผมก่อนเลย ก็ช่วยไม่ได้รถคันอื่นมันพร้อมใช้งานที่ไหนกันล่ะ
“เดี๋ยวกูเลี้ยงข้าวน่า ขับรถไป”
“เอออ”
ครืดด ครืดด
ขับรถออกมาได้ไม่นานก็มีสายเรียกเข้าหาผม เบอร์ที่โชว์เป็นเบอร์คนแปลกหน้าที่ผมไม่รู้จัก ตอนแรกผมตั้งใจจะตัดสายทิ้งแต่ไม่รู้อะไรดลใจให้กดรับซะงั้น
“สวัสดีครับ....”
(สวัสดีค่ะ เราติดต่อมาจากโรงพยาบาลXXXนะคะ ไม่ทราบว่าใช่คุณชินวุฒิไหมคะ?)
“ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
(ภรรยาของคุณประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้อาการสาหัสค่ะ)
มีเสียงวิ้งดังขึ้นในหูผมกลบเสียงของปลายสายที่กำลังพูด ผมทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่งจนเจตต์ต้องแย่งโทรศัพท์ไปคุยเอง
“ไอ้ชิน”
“....”
“ไอ้ชิน!!”
“อะไร....”
“ตั้งสติ กูกำลังจะพามึงไปโรงพยาบาล เข้าใจไหม?”
“.....”
จริงด้วยสิ เวลาแบบนี้ผมต้องมีสติเข้าไว้ เธอจะต้องไม่เป็นอะไรแน่ ๆ ผมมั่นใจเพราะเธอเป็นคนเข็มแข็งกว่าที่ผมคิดเอาไว้ด้วยซ้ำ
“อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะนิตา”
ผมภาวนาอยู่ในใจซ้ำ ๆ ตลอดเวลาที่ขับรถมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาล แม้แต่กับพระเจ้าที่ผมไม่เคยคิดจะร้องขออะไรผมก็ยังยอมสวดภาวนาให้นิตาปลอดภัย
ระยะทางไม่ได้ไกลมากแต่ผมกลับรู้สึกยาวนานจนแทบขาดใจ พอมาถึงผมก็เดินดุ่ม ๆ เข้าไปโดยไม่ฟังเสียงเรียกของไอ้เจตต์เลย
“ไอ้ชิน รอก่อนเฮ้ย!!”
ใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทั้ง ทั้งกังวล ทั้งกลัว ทั้งเสียใจ ถ้าผมไม่พูดอะไรไม่คิดออกไปนิตาคงไม่เกิดอุบัติเหตุแบบนั้นแน่ ๆ มันเป็นเพราะผม เพราะผมคนเดียว....
หน้าห้องฉุกเฉินมีชายรูปร่างคุ้นคนหนึ่งที่กำลังคุยกับหมอ เขาหันมองผมด้วยสายตานิ่งเรียบไม่สื่ออารมณ์ใด ๆ ออกมาแต่ผมรู้สึกได้ถึงความเศร้าที่ส่งต่อมาให้
เขาเดินมาหาผมที่หยุดอยู่กลางทางช้า ๆ ก่อนจะมาหยุดตรงหน้าผมพร้อมกับมอบคำพูดที่จะทำให้ผมเจ็บปวดไปตลอดชีวิตออกมาให้ฟัง
“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าคุณจะต้องเสียใจ หลังจากนี้ก็อยู่กับความรู้สึกผิดของตัวเองไปเถอะ”
มันเดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีกเลย ผมรีบสลัดคำพูดของหมอนั่นทิ้งไปแล้วเดินเข้าไปหาคุณหมอที่ยืนอยู่
“คุณหมอครับ ภรรยาผม....”
ผมพูดคำต่อไปไม่ออกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมันขึ้นมาอุดที่คอเอาไว้ คำพูดของไอ้หมอนั่นยังดังก้องอยู่ในหัวผมแม้ว่าผมไม่ได้อยากจะจำมันไว้เลยก็ตาม
“คุณชินสามีของคุณนิตาสินะครับ”
“ใช่ครับ เธอปลอดภัยใช่ไหมครับแล้วอาการหนักแค่ไหน”
“....”
“หมอครับ ภรรยาผมปลอดภัยใช่ไหมครับ!”
“เฮ้ย! ชิน ใจเย็นดิว่ะ”
ไอ้เจตต์เข้ามาดึงผมไว้ไม่ให้กระชากคอหมอมาคุยเพราะเขาไม่ยอมพูดสักที ผมพยายามใจเย็นเข้าไว้แม้จริง ๆ แล้วจะกลัวมากแค่ไหนก็ตามที
“หมอครับ....ภรรยาผม....”
ผมไม่เคยอยากได้ยินคำว่าปลอดภัยเท่านี้มาก่อนในชีวิต ขอแค่หมอพูดออกมาผมจะทำตัวดี ๆ กับเธอ จะขอโทษและยอมเธอทุกอย่าง จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่ดีกว่านี้....
แค่ครั้งเดียว
ขอโอกาสผมแค่ครั้งเดียวเท่านั้น...
“ผมเสียใจด้วยครับ ภรรยาและลูกของคุณเสียชีวิตแล้วครับ....”
คำพูดสุดท้ายที่ผมบอกกับเธอวิ่งวนอยู่ในหัวซ้ำ ๆ ราวกับต้องการตอกย้ำว่าทั้งหมดคือความผิดของผม....
“ได้!! อยากไปไหนก็ไป! จะไปตายที่ไหนก็เชิญเลย!!!”
แล้วเธอก็ไปจากผมจริง ๆ จากไปพร้อมกับลูกที่ผมเพิ่งรู้ว่ามี....ทุกอย่างมันเป็นเพราะผมเอง.....