ตอนที่ 2
ไม่ใช่แค่การจำนอง
น้าวารีออกจากบ้านไปนานแล้วแต่เมลินญาน์ก็นั่งที่เดิม ด้วยความหดหู่เธอไม่รู้ว่าจากนี้จะชีวิตของตนเองจะเอายังไงต่อ ความฝันที่จะได้เรียนต่อมันหายวับไปในพริบตา ทั้งบ้านที่เคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เด็กก็กำลังจะถูกธนาคารมายึดและที่สำคัญที่สุดตึกเช่าที่บิดาทิ้งไว้มันก็กำลังจะกลายเป็นของคนอื่นเธอ
ไม่รู้เลยว่าแม่เลี้ยงของเธอเอาตึกไปจำนองเป็นเงินเท่าไหร่แต่เธอจะต้องหาทางเอามันกลับคืนมาให้ได้เพราะรายได้จากการเช่าตึกมันก็มากพอที่จะให้เธอได้ใช้ชีวิตได้อย่างสบาย
ที่ผ่านมาเมลินญาน์ไว้ใจน้าวารีให้ดูแลเรื่องนี้มาตลอดและไม่เคยรู้เลยว่าแม่เลี้ยงของเธอเงินไปใช่จ่ายอะไรจนหมดแถมยังเอาสมบัติของเธอไปจำนองอีกด้วย
สิ่งที่หญิงสาวคิดว่าจะต้องรีบทำก็คือการไปพบกับคุณราตรีตามที่น้าวารีบอก
เมลินญาน์เช็ดคราบน้ำตาออกแล้วรีบอาบน้ำแต่งตัว เธอแวะทานข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งหน้าปากซอย ก่อนจะเดินเข้าไปยังอีกซอยตามที่เลี้ยงบอก
เมื่อเห็นบ้านหลังใหญ่ภายในมีต้นไม้ที่ร่มรื่นก็หยุดเดิน เมลินญาน์สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะกดออดที่หน้าประตู รอไม่นานหญิงสาวคนหนึ่งก็วิ่งมาที่ประตูรั้ว
“มาหาใครคะ” คนด้านในถามด้วยภาษาไทยที่ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
“ใช่บ้านของคุณราตรีไหมคะ”
“ใช่ค่ะ”
“พอดีหนูมีธุระจะคุยกับคุณราตรีค่ะ”
“นัดไว้ก่อนหรือเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะ หนูไม่รู้ว่าต้องนัดก่อน พี่ชาวยไปถามคุณราตรีให้หนูหน่อยได้ไหมว่าหนูมีเรื่องจะถามท่าน”
“หนูจะถามคุณท่านด้วยเรื่องอะไรล่ะบอกพี่ก่อนได้ไหมพี่จะไปเรียนคุณท่านให้”
“หนูอยากถามเรื่องที่แม่เลี้ยงของหนูเอาตึกมาจำนองไว้กับคุณราตรีค่ะ”
“รออยู่ตรงนี้ก่อนนะเดี๋ยวพี่เข้าไปถามคุณท่านก่อน”
หญิงสาวคนนั้นหายเข้าไปในบ้านไม่นานก็กลับออกมาและเปิดประตูให้เมลินญาน์เดินตามเข้าไปในบ้าน
หญิงสาวเดินตามเข้ามาในห้องรับแขกที่ดูหรูหราไม่ผิดจากที่เธอเห็นในละครเลยสักนิด
“นั่งรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวคุณท่านก็ออกมา”
“ขอบคุณนะคะ” เมลินญาน์มองซ้ายมองขวาก่อนจะนั่งลงบนพื้นเพราะบนโซฟามันดูหรูหราจนเกินไปสำหรับเธอ
นั่งรอไม่นานเมลินญาน์ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาจากด้านหลังเมื่อเห็นหญิงสูงวัยเดินมาหญิงสาวลุกขึ้นและยกมือไหว้ทันที
“สวัสดีค่ะคุณราตรีหนูชื่อเมลินค่ะ หนูจะมาคุยเรื่องตึกห้าคูหาที่น้าของหนูเอามาจำนองไว้ค่ะ”
“น้าของหนูนี่ใครเหรอ” คุณยายราตรีมีคนเขาของพวกนี้มาขาย มาจำนองจนจำไม่ได้ว่าของใครเป็นของใคร
“น้าหนูชื่อวารีค่ะ คุณท่าน”
“ไม่ต้องเรียกคุณท่านหรอก เรียกฉันว่าคุณยายก็ได้”
“หนูไม่กล้าเรียกท่านแบบนั้นหรอกค่ะ”
“แค่เรียกฉันว่ายายมันต้องใช้ความกล้าอะไรกันล่ะ นั่งลงก่อนนะ แล้วค่อยคุยกัน”
“ขอบคุณค่ะ” เมื่อได้รับอนุญาตให้นั่งเมลินญาน์ก็นั่งลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว
“ไม่ใช่นั่งบนพื้นสิ นั่งบนเก้าอี้ตรงนั้นแหละ ยายฉันไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างอะไรหรอกนะ”
“ขอบคุณค่ะคุณยาย”
“เอาล่ะทีนี้จะคุยเรื่องตึกนั่นใช่ไหม”
“ค่ะคุณยาย น้าวารีเขาเป็นแม่เลี้ยงของหนูค่ะ ตอนพ่อตายเขาก็เป็นผู้จัดการมรดกแต่ตอนนี้หนูอายุครบ 18 แล้วค่ะ หนูเลยอยากจะมาถามคุณยายว่าหนูต้องหาเงินมาไถ่ตึกนั้นคืนเท่าไหร่” เมลินญาน์อธิยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“หนูเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าลูก”
“เข้าใจอะไรผิดคะคุณยาย”
“วารีเขาไม่ได้เอามาจำนองหรอกนะ แต่เขาเอามาขายขาด”
“ขายขาดเหรอคะ” คำตอบของคุณยายราตรีทำให้หญิงสาวหน้าซีดเพราะนั่นมันเป็นสมบัติที่บิดาทิ้งไว้ให้เธอและไม่คิดว่าแม่เลี้ยงจะเอามาขายก่อนที่เธอจะอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์
“เขาขายคุณยายไปเท่าไหร่คะ หนูจะพยายามหาเงินมาซื้อคืนได้มั๊ยคะ”
“อันที่จริงตึกไหนถ้ายายซื้อแล้วก็ไม่คิดจะขายหรอกนะเพราะมันเป็นเรื่องของธุรกิจนะ แต่ยายเห็นว่าหนูยังเด็กและคงโดนแม่เลี้ยงแอบเอามาขาย ยายจะขายคืนให้หนูเท่าราคาเดิมก็แล้วกันนะ ยายซื้อมาในราคาสิบห้าล้าน” คุณยายราตรีบอกจำนวนเงินที่วารีได้ไป แต่อันที่จริงตึกนั้นราคาประเมินไม่ถึงสิบห้าล้าน แต่ที่ซื้อก็เพราะเห็นทำเลมันดีและคงทำกำไรได้ในอนาคต
“หนูนึกไม่ออกเลยว่าหนูจะหาเงินมากขนาดนั้นมาซื้อจะคืนได้ยังไง”
“น้าของหนูเขาแบ่งให้หนูเท่าไหร่ หนูยังขาดเงินอีกเท่าไหร่ เผื่อว่ายายจะให้หนูผ่อนจ่ายไปก่อน” คุณยายราตรีเสนอด้วยความใจดี
“หนูไม่ได้เลยสักบาท”
“ยายนึกว่าจะแบ่งกันคนละครึ่งเสียอีก”
“ตึกนั้นไม่ใช่ของพ่อค่ะ แต่เป็นตึกของครอบครัวแม่ พ่อบอกว่าจะยกให้หนูคนเดียว แต่หนูไม่คิดเลยว่าน้าวารีจะเอามาขาย”
“ยายรู้สึกผิดนะที่รับซื้อไว้โดยที่สืบดูให้ดีก่อนว่าเจ้าของเป็นใครกันแน่”
“คุณยายคะหนูรู้ว่าเงินจำนวนนั้นมันมากเกินกว่าที่เด็กจบแค่ ปวช. อย่างหนูจะหาเงินมาซื้อคืนได้ แต่หนูขอร้องคุณยายอะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ”
“หนูจะขอร้องอะไรยายจ๊ะ”
“หนูอยากให้ยายดูแลรักษาตึกนั้นอย่างดี อย่าทุบทิ้งได้ไหม มันเป็นสมบัติของแม่และแม่หนูเสียไปหลายปีแล้ว ถึงแม้หนูจะไม่ได้เป็นเจ้าของแต่ได้เห็นมันอยู่เหมือนเดิมก็พอแล้วค่ะ” เมลินญาน์รู้ว่าการได้กลับมาเป็นเจ้าของตึกนั้นมันไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง
“ยายไม่ทุบทิ้งหรอกนะเพราะจะทำให้คนเช่าอยู่ต้องเดือดร้อนเมื่อกี้หนูบอกว่าหนูเพิ่งเรียนจบชั้นปวช. ใช่ไหมหนูจบอะไรมาเหรอเมลิน”
“หนูเรียนจบบัญชีค่ะคุณยาย”
“แล้วทำงานที่ไหนล่ะ”
“หนูเพิ่งสอบเสร็จวันสุดท้ายเมื่อวานค่ะ รอผลสอบออกแล้วถ้าไว้วุฒิการศึกษามาหนูก็จะเริ่มหางานทำค่ะ”
“สมัยนี้มันหายากใช่เล่นนะ”
“หนูก็คิดว่าอย่างนั้นค่ะ ตอนแรกหนูคิดว่าจะเรียนต่อแต่แผนทุกอย่างก็พังหมด นอกจากน้าวารีจะเอาตึกมาขายให้คุณยายแล้วเขายังเอาบ้านไปจำนองกับธนาคาร หนูมีเวลาหาเงินอีกหนึ่งเดือนไปเพื่อส่งให้ธนาคารก่อนที่เขาจะยึดค่ะ” เมลินญาน์เล่าให้คุณยายฟังอย่างไม่มีปิดบังเพราะไม่รู้จะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง
“ทำไมถึงได้ลำบากแบบนี้นะ เอาอย่างนี้ไหมมาทำงานกับยายก่อนระหว่างที่ยังหางานทำไม่ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณยายหนูเกรงใจ แค่นี้หนูก็มารบกวนคุณยายมากแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกที่ยายจะให้หนูมาทำงานไม่ใช่เพราะสงสารหรอกนะ แต่คนที่ยายเคยจ้างเขาเพิ่งลาออกไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนตอนนี้ยายก็กำลังหาคนมาทำงานอยู่พอดี”
“งานอะไรคะคุณยาย หนูจบแค่ปวช.เองนะคะ หนูไม่มีประสบการณ์อะไรเลย”
“งานของยายมันจุกจิกนิดหน่อยนะ หนูอยากลองทำดูไหม ถ้าไม่ไหวก็ค่อยไปหางานทำที่อื่น”
“หนูต้องทำอะไรบ้างคะคุณยาย”
“ไปเก็บเงินของแม่ค้าในตลาดให้ยาย หนูเห็นแผงในตลาดสดใช่ไหม หนูมีหน้าที่เก็บเงินจากแม่ค้าและกลับมาทำบัญชีให้ยายหนูคิดว่าทำได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
“ตกลงว่าหนูเมลินจะมาทำงานกับยายนะ ส่วนเรื่องเงินเดือนยายก็จะให้เท่าค่าแรงขั้นต่ำบวกกับโบนัสและค่าเดินทางอีกนิดหน่อยตกลงไหมล่ะ”
“ตกลงค่ะ” เธอตอบรับด้วยรอยยิ้มจางๆ พร้อมกับความหวังที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แม้จะไม่ใช่ชีวิตที่เธอใฝ่ฝัน แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี