เช้าวันต่อมาเหล่าขันทีทั้งสิบคนยืนตรงหน้าพวกนาง เช่นเคยพวกนางจะใส่อาภรณ์สีขาวสะอาดตาทุกครั้งที่ออกมาพบเหล่าขันที วันนี้มหาขันทีหย่งเยี่ยมาพบพวกนางด้วยตัวเอง ถือว่าเป็นวันพิเศษหนึ่งวันสำหรับพวกนาง จื่อหลานและผิวฮัว มองมายังฝั่งที่อวี้เฟิ่งยืนอยู่ สายตาหมั่นใส่ อวี้เฟิ่งจึงเชิดหน้าใส่
วันนี้มหาขันทีสอนเรื่องการชงชาที่และการดื่มที่ดี อวี้เฟิ่งทำออกมาได้ดีทีเดียว เพราะเตี่ยของนางชอบดื่มชา นางจึงหัดเรียนกับสาวใช้จนชินชา อีกทั้งนางรู้ว่าต้าหวางทรงชอบเสวยพระสุธารสชาทำให้นางต้องยิ่งศึกษาขึ้นไปอีก ซึ่งมองผิงฮัวทำแก้วชาตกแล้วตกอีกเพราะไม่ระวัง จนหย่งเยี่ยกล่าวตำหนินางต่อหน้าทุกคน อวี้เฟิ่งในใจคิดสะใจนางยิ่งนัก
เรียนจนเข้าใจในหลักการชงชา จนอวี้เฟิ่งจำขึ้นใจได้แล้ว ต้าหวางทรงโปรดเสวยชาดอกท้อ น้ำต้องเป็นน้ำจากบ่อน้ำพุร้อนจากเมืองเสียงหู่ ถือว่าบ่อน้ำพุร้อนที่นี่ใสสะอาดบริสุทธิ์ อีกทั้งต้องนำมาทุกๆ เช้า แต่ก็ยังดีที่เมืองเสียงหู่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก
เมื่อทุกคนออกไปจนจะหมด แล้วอวี้เฟิ่งเดินออกเป็นคนสุดท้าย นางได้ยินเสียขันทีผู้หนึ่งเรียกนางขึ้น
“ไป๋กูเหนียง”
อวี้เฟิ่งจึงหันกลับไปมอง พบมหาขันทีหย่งเยี่ยยืนมองนางด้วยรอยยิ้ม อวี้เฟิ่งจึงก้าวเดินเข้าไปหาทันที นางจึงก้มคารวะอย่างนอบน้อม
“ใต้เท้าหย่งมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือเจ้าคะ”
“ไป๋กูเหนียงตามข้ามา”
หย่งเยี่ยกล่าวจบย่างก้าวเดินนำอวี้เฟิ่ง อวี้เฟิ่งเดินตามใต้เท้าหย่ง ไปจนกระทั่งหยางหมิงกง อวี้เฟิ่งรู้ดีว่าหยางหมิงกงเป็นของผู้ใด (หยางหมิง แปลว่า แสงตะวันอันสดใส)
อวี้เฟิ่งเดินผ่านสระน้ำขนาดใหญ่ บัวสีชาดมากมายงดงามและเบ่งบานตามดอก นางมองเห็นแมลงภู่มาดอมดมเกสรในดอกนั้นๆ อีกทั้งยังมีมัจฉาในวารีแหวกว่ายไปมา นางมองออกทันทีว่าเป็นปลานัย ต้าหวางทรงโปรดปลานัยในการประกอบอาหารขึ้นโต๊ะเสวยในทุกๆ วัน อุทยานเยว่เล่อแห่งนี้ เป็นพันธุ์ไม้เมืองหนาว เช่นต้นท้อ ต้นเชอรี่ ต้นไห่ถัง รวมดอกไม้เช่น ดอกเบญจมาศที่เหลืองอร่ามตา ดอกเหม่ย ดอกกุหลาบ ดอกพุดตานเป็นต้น แต่ที่ต้าหวางทรงโปรดที่สุดเห็นจะเป็นดอกท้อ เมื่ออวี้เฟิ่งมองไปทางไหน มีแต่ต้นท้อสีชมพูบานสะพรั่งเต็มไปหมด (เยว่เล่อ แปลว่า ดวงจันทร์แห่งความสุข)
เมื่อถึงหน้าหยางหมิงกง มหาขันทีหย่งเยี่ยหันมาหาอวี้เฟิ่งที่ยืนด้านหลังเขา หย่งเยี่ยส่งสัญญาณมือให้ขันทีใต้อาณัติเดินมา อวี้เฟิ่งเห็นขันทีผู้ที่มายืนข้างๆ นางส่งถาดขนมดอกท้อทั้งหมดสี่ชิ้นให้นางถือ อวี้เฟิ่งจึงรับไว้ หย่งเยี่ยจึงกล่าวกับนาง
“ไป๋กูเหนียง ท่านเอาขนมนี้ไปถวายต้าหวางแทนข้าที ข้ากับเหล่าขันทีพวกนี้มีงานอื่นต้องทำอีก” (กูเหนียง แปลว่าแม่นาง)
“เจ้าค่ะ”
อวี้เฟิ่งรับคำพูดด้วยความงวยงงนางเห็นพวกขันทีเดินไปเดินมาทั้งวันเหมือนไม่มีงานอะไรทำ แต่ก็ช่างเถอะ อวี้เฟิ่งจึงเดินเข้าตำหนักเดินตรงเข้าห้องโถง นางไม่เห็นใครในตำหนักสักคน จึงยืนตรงหน้าตั่งประทับอิริยาบถของต้าหวาง การยืนของนางล่วงเลยไปสักพักจนนางได้ยินเสียงอะไรออกมาจากด้านใน เหมือนเสียงน้ำกระจาย อวี้เฟิ่งอยากเข้าไปดูเพื่อความแน่ใจ เผื่อมีคนร้ายเข้ามาในตำหนักหรือไม่
เป็นไปดังคลาดของนาง ชายสามคนกับต้าหวางกำลังต่อสู้กันในสระน้ำ อวี้เฟิ่งสั่นกระดิ่งเรียกองครักษ์ พวกโจรโพกผ้าดำหันมามองนาง อวี้เฟิ่งเห็นชายผู้หนึ่งตรงมาหานาง นางได้จังหวะชกไปที่ท้องของโจรเต็มแรง แล้วหักมือให้กระบี่นั้นหลุดจากมือโจร อีกทั้งต้าหวางปลิดชีพโจรตรงหน้านางด้วยในกระบี่เดียว โจรอีกคนชักกระบี่มาทางด้านหลังของนาง ต้าหวางเห็นเช่นนี้จึงดึงมือนาง ทำให้นางลอยเหนือพื้น เหวี่ยงตัวมาอยู่ในอ้อมพระกร ต้าหวางทรงปากระบี่ใส่โจรผู้นั้นตายเสีย ไม่ช้าราชองครักษ์เข้ามาทันที พร้อมกับหย่งเยี่ยและเหล่าขันที พวกโจรที่เหลือโรยตัวลงมาจากเพดาน เหล่าราชองครักษ์ต่อสู้แทนต้าหวางและอวี้เฟิ่ง นางออกจากพระกรของต้าหวาง เหล่าราชองครักษ์และหย่งเยี่ย คุกเข่ารับโทษ
“จ้าวเสิ่น ขอรับโทษจากต้าหวาง ที่มาล่าช้าทำให้ต้าหวางตกพระทัย พวกกระหม่อมสมควรตายหมื่นครั้ง” จ้าวเสิ่นก้มหน้ารอพระอาญา กับเหล่าราชองครักษ์
“ไปสืบเรื่องนี้มาว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลัง พวกนี้เกี่ยวคล้องกับกลุ่มโจรในครั้งที่แล้วหรือไม่”
“พระเจ้าค่ะ” จ้าวเสิ่นรับพระบัญชาจากต้าหวาง
“จัดการให้เรียบร้อย”
“พระเจ้าค่ะ” จ้าวเสิ่นหันไปกล่าวให้เหล่าองครักษ์เก็บกวาดให้เรียบร้อย ต้าหวางเห็นว่าอวี้เฟิ่งกำลังเดินออกไปจากตำหนัก เกือบพ้นบานประตู จึงทรงเรียกนางขึ้นด้วยสุรเสียงดังลั่นไปทั่ว
“เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าบาดเจ็บ”
เมื่อต้าหวางทรงดำริเช่นนี้ อวี้เฟิ่งจึงหยุดฝีเท้า หันกลับมา เดินกลับไปหาต้าหวาง ที่เดินไปนั่งที่ตั่งในห้องโถงแล้ว นางมองเห็นเลือดที่ซึมที่แขนเสื้อผาว อวี้เฟิ่งกล่าวขึ้น (เสื้อผาว คือ เสื้อคลุมยาว)
“หม่อมฉันจะไปตามหมอหลวงมาเพคะ” อวี้เฟิ่งกล่าวเช่นนั้น จะเดินจากองค์ต้าหวางไป องค์จึงฉุดนางนั่งลง อวี้เฟิ่งมองต้าหวางด้วยความงุนงง
“ข้าเลือดไหลเยอะขนาดนี้ เจ้าทิ้งข้าได้หรือ”
“ได้เพคะ คนในวังมากมายพร้อมดูแลต้าหวาง”
“ข้าจำได้ว่าวันนั้นใครเป็นคนช่วยเจ้าจากโจรพวกนั้น ไม่ให้เจ้าโดยขืนใจกลางป่า” อวี้เฟิ่งได้ยินเช่นนี้อ้าปากค้าง ต้าหวางคิดทวงบุญคุณกับนางหรือ แต่ก็จริงไม่มีต้าหวางเข้าช่วยในวันนั้น นางคงถูกพวกโจรขืนใจเป็นแน่แท้ ตามที่ต้าหวางทรงตรัส
“เพคะ เพคะ ถ้าไม่มีต้าหวางหม่อมฉันคงได้เป็นฟูเหรินของพวกโจรป่าไปแล้ว ดีที่ต้าหวางทรงช่วยไม่งั้นคงแย่แน่” อวี้เฟิ่งกล่าวเช่นนี้ อีกทั้งมือของถกแขนเสื้อผาวขึ้น จึงเอาตลับยาในสาบเสื้อออกมา จึงเปิดฝากลิ่นของยาต้าหวางทรงรู้ทันทีว่าเป็นยาดอกพุดตาน อีกทั้งผสมน้ำผึ้งในตัวยาเพื่อสมานแผลได้ดียิ่งขึ้น อวี้เฟิ่งจึงทายาลงบนบาดแผลเบาๆ กลัวว่าต้าหวางจะทรงเจ็บ
“เจ้าทารอบแผลจะไปรู้ผลอะไร ต้องทาบนบาดแผลถึงจะเรียกกว่ารักษาแผล อย่างแท้จริง”
เมื่อต้าหวางทรงตรัสเช่นนั้น นางจึงย้ำลงบนบาดแผลด้วยใจคิดหมั่นไส้ แผลแค่แมวข่วน ถึงกับต้องร้องไห้นางช่วยมันเกินไปไหม
“ต้าหวาง ความจริงแผลท่านแค่นี้ ทำไมต้องร้องเรียกหม่อมฉันดังลั่น อีกทั้งไม่คิดให้หมอหลวงมาดู แต่กลับให้หม่อมฉันทำแผลให้พระองค์ พระองค์ออกสนามรบไม่รู้กี่สนามบาดแผลนั้นก็มาจากอาวุธในสนามรบ พระองค์เคยร้องไห้ใครเขาช่วยหรือไม่”
“ในสนามรบมีแต่ผู้ชาย ข้าจะไปเรียกใครเล่า เกินไปหรือไม่”
เมื่อต้าหวางตรัสเช่นนี้นางจึงหยุดทาบนบาดแผลของต้าหวาง อีกทั้งแผลนั้นเริ่มใหญ่ขึ้น อวี้เฟิ่งชักมือออกทันที แล้วจึงฉีกผ้าบนกระโปรงยาวพอสมควร มาพันบนแผลบางเท่าแมวข่วนอย่างที่นางว่า
“เบาหน่อยจะดีมาก” ต้าหวางทรงตรัส อวี้เฟิ่งก็พันแผลจนเสร็จ จึงลุกขึ้นยืน ต้าหวางจึงจับมือเรียวของนางไว้ นางมองด้วยความแปลกใจ แล้วจึงถอยมือออกห่าง
“มีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้เพคะ”
“ไม่มี พรุ่งนี้มาหาข้า ก่อนข้าจะตื่น ข้าตื่นประมาณยามเหมา”
“เพคะ” อวี้เฟิ่งน้อมรับคำสั่ง แล้วจึงเดินจากไป เมื่ออวี้เฟิ่งเดินจากไปนั้น ต้าหวางเผยแย้มพระโอษฐ์ที่มุมพระโอษฐ์ หย่งเยี่ยลอบสังเกตอิริยาบถของต้าหวางที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน น้อยนักที่จะทรงแย้มพระโอษฐ์ คิดถึงข้อนี้เมื่อต้าหวางสังหารศัตรูทุกครั้ง ไม่สะทกสะท้านไม่ยินดียินร้ายเหมือนกับว่าพระองค์ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเทพสงครามมาจุติ จนทำให้ทั้งสองแคว้นเกิดความยำเกรงในพระราชอำนาจของพระองค์ ทว่าตอนนี้ทรงแย้มพระโอษฐ์ในครั้งนี้ ไป๋กูเหนียงผู้นี้ต้องมีอะไรที่พระองค์สนใจอย่างมาก
อย่าลืมเม้นท์และมอบหัวใจ เป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะ