โถงลิฟต์เงียบกริบ กระจกใสสะท้อนเงาคนสองคนที่ยืนเคียงกันโดยมีระยะห่างที่เหมาะสม ไกลพอให้ปลอดภัย แต่ก็ใกล้พอให้หัวใจบางคนวุ่นวาย พรปวีณ์เหลือบมองภาพเงาสะท้อนของเธอและเขาที่ประตูลิฟต์แล้วเผลอหัวเราะกับตัวเอง เธอกับสารินเหมือนภาพตัดกันของสีเทาเข้มกับสีพาสเทล เขาเป็นเส้นตรงทุกองศา ส่วนเธอคือเส้นโค้งอ่อนโยนในทุกอากัปกิริยา
“พี่แสนยังตื่นเช้าได้เหมือนเดิมทั้งที่นอนดึกสินะคะ” เธอเริ่มบทสนทนาขณะยืนรอลิฟต์ซึ่งตอนนี้หญิงสาวนำแว่นกันแดดมาสวมทับดวงตากลมโตเอาไว้แล้ว
“วีณ์เพิ่งได้นอนตอนตีสามเอง ยังดีที่วันนี้ไม่มีคิวเช้า ตอนนี้ยังง่วงอยู่เลยค่ะ เดี๋ยวว่าจะขอนอนสักครึ่งวันตอนเย็นมีถ่ายงานด้วย”
“ได้ยินว่ามีคนตาม มัน...ไม่ได้ทำร้ายอะไรใช่มั้ย” เขาเหลือบมองเธอด้วยหางตาราวกับกลัวว่าถ้ามองตรงๆ แล้วเธอจะรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้
“ก็ยังหรอกค่ะ แต่แค่รู้สึกว่าถูกมองตลอดเวลาวีณ์ก็เริ่มขนลุกแล้วล่ะ โชคดีนะคะที่ตอนนี้มีบอดี้การ์ดสุดหล่อมาคุ้มกันแล้ว วีณ์คงนอนหลับได้อย่างสบายใจ”
เธอย่นจมูกกลบความกลัวด้วยความขี้เล่นตามนิสัย แม้จะเป็นสาววัยสามสิบบวกแต่บุคลิกของเธอก็ยังเหมือนเด็กน้อยขี้อ้อนในวันวานเสมอ และไม่ใช่เพียงบุคลิกเท่านั้น แต่ใบหน้าของเธอก็อ่อนเยาว์ราวกับสาววัยยี่สิบต้นๆ อีกด้วย นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอยังคงเจิดจรัสในวงการบันเทิงแม้จะมีดาราหน้าใหม่ผุดขึ้นมาทุกวัน
เขาแอบมองเธอผ่านเงาสะท้อนเงียบๆ นัยน์ตาที่เคยนิ่งสนิทขยับไหวเสี้ยววินาที ก่อนประตูลิฟต์จะเปิดออกและช่วยดึงทุกอย่างกลับเข้ารูป เขาถอยให้เธอเข้าไปก่อนอย่างเคยด้วยความสุภาพที่ยึดไว้เหมือนเข็มทิศในชีวิต
รถยุโรปสีเข้มเคลื่อนลงสู่ถนนใหญ่ เสียงเครื่องยนต์นุ่มจนเหมือนไม่มีอยู่จริง แสงอาทิตย์แรงจ้าที่ถูกกรองผ่านกระจกพาดไปตามโครงหน้าคมของสารินจนเกิดเงารับพอดีกับแนวจมูกและสันกราม พรปวีณ์มองภาพนั้นแล้วต้องรีบเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่าง เหมือนเด็กนักเรียนแอบมองรุ่นพี่คนโปรดกลางสนามบอล ความรู้สึกที่เธอไม่ค่อยยอมรับต่อหน้าตัวเองนัก
“พี่แสนหายไปไหนมาตั้งนานคะไม่เห็นมาหาวีณ์เลย จำได้ว่าปีก่อนยังได้เจอกันบ่อยกว่านี้” เธอชวนคุย
“งานเยอะครับ พอๆ กับเฮียนั่นแหละ”
“อือ… พี่วิชญ์งานเยอะจริง” เธอพยักหน้ารับ
“แต่เมื่อก่อนพี่แสนชอบบอกว่าวีณ์ซน เดี๋ยวจะเกิดเรื่อง พี่เลยต้องคอยดูแลตลอด แต่พักหลังๆ ไม่ค่อยเห็นเลย นึกว่าจะลืมกันแล้ว”
“ไม่เคยลืม” คำตอบหลุดจากปากเร็วกว่าความคิด เขาจึงต้องรีบแก้ไขถ้อยคำนั้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องคิดมาก
“หมายถึง…พี่ไม่เคยลืมหน้าที่ครับ เพียงแต่ไม่มีคำสั่งของเฮีย พี่ก็มาไม่ได้”
“อ้อ ต้องรอให้พี่วิชญ์สั่งเท่านั้นสินะคะ วีณ์ถึงจะเจอพี่ได้”
คำพูดคล้ายน้อยใจทำให้เขาต้องหันมามองครู่หนึ่ง แต่ก็เห็นเพียงกลุ่มเส้นผมสีน้ำตาลเข้มเพราะเธอเบือนหน้าไปมองวิวข้างทางแทน และเพราะไม่แน่ใจว่าเธอกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เขาจึงเลือกใช้ความเงียบแทนคำแก้ตัวที่อาจจะสิ้นเปลืองไปโดยไม่จำเป็น
รถค่อยๆ เบี่ยงไปทางเลนขวาเพื่อหลบรถขยะริมฟุตบาทฝั่งซ้าย พรปวีณ์เหลือบมองกระจกด้านข้าง จู่ๆ ความกลัวที่ปกปิดด้วยอารมณ์ขี้เล่นก็ผุดวาบขึ้นมาเหมือนคลื่นใต้น้ำ เธอสูดลมหายใจลึก พยายามทำเสียงให้ปกติ
“คิดอะไรอยู่ครับ ทำไมเงียบจัง” เพราะรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ดูไม่ปกติของเธอเขาจึงได้เอ่ยถามขึ้น
“ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่...คิดถึงคนที่ตามวีณ์น่ะ หมายถึงคิดภาพตอนที่เค้าชอบยืนไกลๆ ใส่หน้ากากอนามัยปิดหน้า บางครั้งเหมือนแค่จ้อง บางครั้งก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาแต่ไม่รู้ถ่ายรูปอะไรหรือเปล่า ทีมงานบอกว่าอาจเป็นแฟนคลับธรรมดา แต่วีณ์…ไม่ค่อยสบายใจเลย เพราะเคยเจอเค้ามาด้อมๆ มองๆ ที่คอนโดตอนรถวีณ์ขับเข้ามาด้วย คือแฟนคลับที่ตามมาดักรอถึงที่พักเรา...ไม่ค่อยน่ารักนะคะ” คราวนี้เธอหันมามองเขาเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาหันมาสบตากับเธอพอดี
“พี่จะให้คนเช็กกล้องวงจรปิดของตึกที่วีณ์อยู่ ย้อนหลังตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงเดือนก่อนๆ แล้วก็ขอหมายเลขทะเบียนรถทุกคันที่ไม่ใช่ลูกค้า แต่วนหน้าตึกในช่วงเวลาซ้ำๆ ถ้ามีแพตเทิร์น…เราจะรู้”
ได้ยินแผนการที่เขาบอก ทำให้เธอคลายความกังวลใจลงได้บ้าง เดิมทีก็ไม่อยากรบกวนพี่ชายแต่ก็กลัวเกินกว่าจะเก็บทุกอย่างเอาไว้แล้วกลายเป็นเรื่องร้ายขึ้นมา
เธอพยักหน้าเบาๆ แล้วผุดคำถามที่เคยแซวเล่นเมื่อก่อน
“แล้วถ้าวีณ์ไปกองถ่าย พี่จะไปนั่งเฝ้าด้วยมั้ยคะ แบบยืนกอดอก ทำหน้าดุๆ ใครมองมาก็จ้องกลับเหมือนในหนังน่ะ”
“ถ้าจำเป็น...พี่ก็จะทำ” เขาตอบ หางเสียงติดจะจริงจังเกินภาพที่เธอวาด
“เดี๋ยวผู้กำกับตกใจจะกลัวพี่มากกว่าคนร้ายนะคะ” เธอหัวเราะ กลบเกลื่อนความหวาดหวั่นที่แรงขึ้นเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ยามค่ำที่ผ่านมาในลานจอดรถคอนโด เงาร่างที่ยืนพิงเสาหน้าตึก ศีรษะเขาก้มลงเล็กน้อยแต่เหมือนกำลังมองเธออยู่ทุกฝีก้าว
“พี่จะไม่ให้ใครเข้าใกล้วีณ์” สารินพูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ คล้ายสาบานกับตัวเองมากกว่าแจ้งข่าว
“ขอบคุณนะคะพี่แสน” แค่รู้สึกว่ามีเขาอยู่ข้างๆ เธอก็ไม่นึกหวาดกลัวสิ่งใดอีกแล้ว