EP.10
ปมที่สอง : อันตรายในคราบของพี่สาว
“ดื่มนี่ก่อนนะ”
ชาญวิทย์ยื่นแก้วโกโก้ร้อนให้กับหญิงสาวที่ยังคงนั่งสั่นเทาอยู่บนเตียง เธอรับมันไปถือไว้ก่อนจะยกจิบทีละนิด
“รู้สึกดีขึ้นหรือยัง”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ทำให้เธอจมดิ่งสู่ความทรงจำที่เลวร้ายแต่เธอก็รู้ดีว่าเขาทำไปก็เพื่อรักษาเธอให้หายเป็นปกติ แถมเขาเองก็เป็นคนที่ดึงเธอกลับมาเช่นกัน ลดาเลยไม่ได้โกรธเคืองอะไรเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
“อยากเล่าให้ผมฟังไหม”
มือเรียวจับแก้วไว้แน่นก่อนจะหลับตาลง สูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวในความทรงจำออกมา
“เรื่องนี้มันเกิดหลังจากเรื่องแรกไม่นานนัก ตอนนั้นฉันยังเด็กมากจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร....”
“ลดาจ๋าาา ไปเล่นกับพี่แป้งไหมม”
ร่างเพรียวของหญิงสาววัยสิบห้าปีดังขึ้น ตามด้วยวงแขนเรียวที่สวมกอดเด็กหญิงตัวเล็กเอาไว้
“สวัสดีค่ะพี่แป้ง”
“จ้า ป่ะ ไปเล่นกับพี่ดีกว่านะ”
ลดาหันไปมองหน้ายายเป็นเชิงขออนุญาต ยายส่งยิ้มกลับมาก่อนจะพยักหน้าให้ไปได้
“ไปเถอะ อย่ากลับค่ำนะ เดี๋ยวยายทำของอร่อยไว้ให้”
“ค้าาาาา”
แป้งอุ้มเด็กน้อยมาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะพาไปเล่นที่บ้านตนเองโดยที่ลดาไม่รู้เลยว่าคนที่แสนใจดีตรงหน้าจะกำลังจะมอบฝันร้ายครั้งที่สองให้กับเธอ
“ลดารอพี่ก่อนน้าาา เดี๋ยวพี่ไปหาอะไรมาให้กิน”
แป้งพาลดามาเล่นทำผมที่ห้องของตัวเอง ก่อนจะไปหยิบของกินที่เตรียมไว้มาหลอกล่อเธอ
“อ่ะ พี่เอาของโปรดลดามาให้ด้วยนะ กินซะสิ”
“ขอบคุณค่ะ”
เธอรับของกินนั้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนที่ไม่นานก็รู้สึกง่วงจนทนแทบไม่ไหว
“พี่แป้ง...หนูง่วงจัง”
“นอนสิ เดี๋ยวพี่กล่อมนะ”
เธอพาลดามายังเตียง ก่อนจะจะกดร่างเล็กให้ล้มลงนอนเสียงที่ได้ยินไกลออกไปเรื่อย ๆ ลดาพยายามปรือตาที่จวนเจียนจะปิดมองคนตรงหน้า ทว่าสิ่งที่แป้งทำกลับไม่ใช่การกล่อมนอนแต่อย่างใด
ร่างเพรียวก้าวมาคร่อมร่างเล็กไว้ มือบางลูบไล้ไปตามเนื้อตัวเธอไม่หยุดหย่อน ก่อนที่จะล้วงเข้าไปในที่ลับของเธอ
“ลดาน่ารักมากเลยรู้ไหม”
เสียงหวานพร่ำกระซิบอยู่ข้างหูเธอไม่หยุด ส่วนมือก็พยายามล้วงเข้ามาใต้กระโปรง ร่างเล็กที่ยังไม่รู้ประสาเริ่มเกิดอาการหวาดกลัวขึ้นมาเลยเริ่มพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากคนตรงหน้า
“ฮึก... พะ พี่แป้ง ปล่อยหนู...”
แต่ด้วยเธอยังเด็ก เรี่ยวแรงที่จะขัดขืนย่อมสู้คนตรงหน้าไม่ได้แถมยังโดนยานอนหลับแบบอ่อน ๆ เข้าไปอีก ยิ่งยากที่จะหลีกหนีไปได้ สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจแผดเสียงร้องออกมาดังลั่นห้องจนคนที่คิดทำมิดีมิร้ายตกใจสะดุ้งสุดตัว
“แงงงงง ออกไปนะ แงงงงง”
เสียงร้องของเธอดึงดูดความสนใจจากเปรมได้ไม่น้อย ร่างปราดเปรียวของชายวัยสิบหกวิ่งมาที่ห้องน้องสาวด้วยหน้าตาตื่นแล้วเคาะประตูดังปึง ปึง!
“แป้งทำอะไรลดา ทำไมน้องร้องแบบนั้นล่ะ”
แป้งรีบลุกมาจัดเสื้อผ้าให้เด็กน้อยที่ยังนอนร้องไห้ไม่หยุด ก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้คนข้างนอกเข้ามา
“อะไรพี่เปรม น้องแค่ตกเตียงเลยงอแง”
เปรมเข้าไปอุ้มลดามาไว้ในอ้อมกอด เธอยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุดพร้อมกับร้องหายายไปด้วย
“แงงง ยายจ๋า หนูอยากไปหายาย แงงง”
เปรมลูบหลังปลอบโยนเธอเบา ๆ ก่อนจะอุ้มเธอออกไปจากบ้านเพื่อพาไปส่งให้กับยายของเธอ
“อ้าวเปรม น้องเป็นอะไรล่ะ ทำไมร้องไห้งอแงแบบนั้น”
นงนิตย์ ผู้เป็นยายแท้ ๆ ของลดาถามหลายชายอย่างเปรมด้วยความตกใจ ลดาไม่ใช่เด็กที่จะร้องงอแงแบบไม่มีสาเหตุ เธอเลี้ยงง่ายมาตั้งแต่เกิดแล้ว
“ผมก็ไม่รู้ครับเห็นแป้งว่าน้องตกเตียง”
“ตายแล้ว! โอ๋ ๆ หลายยาย มาหายายนะ”
“ฮึก ยายจ๋า”
“ว่าไงจ๊ะคนเก่งของยาย ไหนเจ็บตรงไหนบอกยายหน่อย”
นงนิตย์อุ้มหลานสาวตัวน้อยเดินกลับเข้าไปในบ้าน เปรมยืนมองทั้งคู่หายเข้าไปด้านในจนลับสายตา ก่อนจะหันหลังเพื่อกลับบ้านไปถามน้องสาวเขา
ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
««««»»»»
“หลังจากนั้น ฉันก็เลี่ยงการที่จะไปหาสองพี่น้องคู่นั้น เพราะไม่อยากเจออะไรแบบนั้นอีก แต่กว่าฉันจะเข้าใจว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันคืออะไร มันก็หลายปีหลังจากนั้นอยู่”
ลดาพูดก่อนจะยกโกโก้ดื่มอีกครั้ง ความหวานของมันช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นเรื่อย ๆ
“แล้วคุณได้บอกยายเรื่องนี้หรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ อย่างที่บอกไป ฉันยังเด็กมาก”
“งั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า คุณจะได้พักด้วย”
ร่างสูงพูดพร้อมกับหันไปหยิบเสื้อกาวน์มาสวม เมื่อเห็นลดาทำท่าจะลุกก็รีบห้ามไว้
“คุณพักก่อน ห้องนี้ไม่มีใครเข้ามาจะนอนเลยก็ได้”
พูดจบก็เดินออกไปด้วยความเร่งรีบจนลดาอดแปลกใจไม่ได้ จะรีบอะไรขนาดนั้น...
“ไปตามควายหายที่ไหนหรือไงกัน ถึงได้รีบขนาดนั้น”
เธอบ่นออกมา ก่อนจะทิ้งตัวนอนพักตามที่เขาบอก ไม่น่าเชื่อว่าการสะกดจิตจะทำให้เธอเหนื่อยได้ขนาดนี้
ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศในห้องบวกกับความเหนื่อยล้าทำให้เธอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว โดยไม่รู้เลยว่าชาญวิทย์ยืนมองเธออยู่อีกฝั่งของประตู พอเห็นว่าเธอหลับไปแล้วจึงได้เดินถอยมา
ตอนนี้เขากำลังโกรธ
โกรธแบบที่ไม่เคยโกรธใครมาก่อน
แววตาที่ปกติจะนิ่งเฉยและเย็นชาตอนนี้วาววับอย่างน่ากลัว ตั้งแต่เป็นหมอจิตแพทย์มานี่เป็นครั้งแรกเลยที่เจอคนไข้โดนคุกคามตั้งแต่ยังเด็กขนาดนี้เพียงเพราะตัณหาของตัวเอง
“ไอ้คนทำมันเป็นสัตว์นรกหรือไงกัน น่าหงุดหงิดเป็นบ้า”
เขาบ่นพึมพำออกมาก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหาพ่อของเขา ยังไงเขาก็ต้องรู้เรื่องราวของเธอมากกว่านี้ให้ได้
แต่กว่าจะติดต่อพ่อของเขาได้ก็ต้องรออีกพักใหญ่ เพราะพ่อของเขาดันติดธุระปลีกตัวมาคุยไม่ได้ เขาเลยบอกเลขาของพ่อให้ติดต่อกลับหาเขาทันทีที่ว่าง
ระหว่างที่รอเขาก็จัดการเคลียร์เอกสารที่กองพะเนินอยู่ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปเกือบสองชม.แล้ว หญิงสาวในห้องเองก็ยังคงไม่มีท่าทีจะตื่นมาเลยด้วย ในขณะที่กำลังลังเลว่าจะเอายังไงดี เลขาที่ทำงานอยู่ด้านนอกก็เข้ามาหา
“ผอ.คะ คุณเวนิกา มาขอพบค่ะ”
“ให้เข้ามาเลยครับ”
ชาญวิทย์ลุกขึ้นเตรียมต้อนรับผู้มาเยือน ไม่นานเลขาก็พาเวนิกาเข้ามา ร่างเพรียวบางสมส่วนก้าวเร็ว ๆ เข้ามาประชิดตัวเขาก่อนจะกอดคอหอมแก้มซ้ายขวาราวกับเขาเป็นเด็กสิบขวบ
“เป็นไงบ้างลูกชายแม่ งานเยอะเหรอ ไม่กลับบ้านเลยนะหรือแอบไปติดสาวที่ไหนอยู่หรือเปล่าเนี่ย”
เวนิกาเอ่ยแซวลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ ชาญวิทย์ยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวทักทายคนตรงหน้า
“สวัสดีครับคุณแม่ ผมแค่งานยุ่งเลยไม่ได้กลับบ้าน ขอโทษด้วยครับ”
ชาญวิทย์หอมแก้มผู้เป็นมารดาอย่างเอาใจ เวนิกาเป็นแม่ของเขาเอง เธอมีนิสัยเหมือนเด็ก ๆ ทั้งที่อายุก็มากแล้ว
“นี่ล่ะแม่ถึงยังไม่อยากให้ลูกรับตำแหน่ง คุณเชษนะคุณเชษ!”
หมอเชษหรือเชษฐาเป็นที่แม่เขากำลังบ่นให้พ่อของเขาเอง ครอบครัวเขาเป็นหมอกันมาทุกรุ่น โรงพยาบาลนี้ก็เป็นสมบัติตกทอดมาของตระกูลเขาเอง
“ผมเต็มใจครับ”
เวนิกาเดินไปนั่งที่โซฟารับแขก เลขาประจำตัวเขานำจ้ำมาเสริฟกก่อนจะถอยออกไป
“ว่าแต่ มีคนไข้เหรอ แม่เห็นไฟในห้องเปิดอยู่น่ะ”
ห้องที่แม่เขาบอกก็คือห้องที่เขาปล่อยให้ลดานอนพักอยู่ ปกติห้องนี้ถ้าไม่มีความจำเป็นเขาก็แทบไม่ใช้งานมันเลย เพราะชอบความเป็นส่วนตัวมากกว่า
“ครับ เป็นคนไข้ที่พ่อส่งเคสมาให้ผมรักษา”
“หนูลดางั้นเหรอ”
ชาญวิทย์ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยให้กับแม่ของเขา ทำไมแม่ถึงรู้ชื่อเธอได้ล่ะ เขายังไม่ได้บอกเลยนะว่าใคร
“ไม่ต้องมองแม่แบบนั้น แม่เป็นคนบอกให้พ่อส่งเคสนี้ให้กับลูกเอง”
แบบนี้ก็เข้าทางเขาพอดีเลย กำลังอยากรู้เรื่องของเธอ แถมพ่อก็ยังไม่ติดต่อกลับมาเลย
“พอดีเลยครับ ผมมีเรื่องอยากจะถามสักหน่อย”
“จะถามเรื่องของหนูลดาสินะ”
เวนิกาดักคอลูกชายอย่างรู้ทัน นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็นเขาสนอกสนใจคนรอบข้างแบบนี้
“ผมอยากรู้เพื่อมาประกอบการรักษาครับ”
เขารีบบอกก่อนที่แม่เขาจะคิดอะไรไปไกลมากกว่านี้ แต่ไม่ทันแล้วล่ะ คนเป็นแม่ทำไมจะไม่รู้ว่าเขาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ดูท่าแล้วลูกชายเธอจะเก่งแค่ด้านวิชาการสินะ ถึงได้ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนไป
ดูเหมือนว่ากำแพงน้ำแข็งในใจเขากำลังละลายเพราะคนไข้สินะ....