“เหอะ! ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงขายตัวแล้วจะท้องไม่มีพ่อกลับมาแบบนี้เหรอ หรือมึงรู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใครกันล่ะ”
“พ่อหนู...พ่อของหนูเป็นเพื่อนที่ทำงานเดียวกับแม่ แม่เคยบอกแบบนั้น”
“งั้นมันก็คงจะเป็นแมงดาน่ะสิ ในเมื่อแม่ของแกเป็นกะหรี่นี่”
“หยุดว่าพ่อแม่ของหนูเลยนะ!”
“อ๋อ...นี่กล้าขึ้นเสียงกับกูงั้นเหรออีหลานเวรนี่ ถ้าแน่จริงก็เก็บเสื้อผ้าไปอยู่ที่อื่นสิ อย่ามาแย่งข้าวแย่งน้ำลูกกูกินแบบนี้”
“ที่หนูอยู่ที่นี่ ก็เพราะแม่บอกให้อยู่ แล้วป้าก็ได้เงินค่าทำศพแม่ไปตั้งหลายแสนไม่ใช่เหรอจ๊ะ พอให้หนูอยู่ที่นี่เป็นปีๆ นู่นแหละ แต่หนูอยู่ยังไม่ถึงเดือนเลยนะจะเปลืองสักเท่าไหร่กันเชียว”
“หน็อยอีนี่ เถียงคำไม่ตกฟากจริงๆ แบบนี้มันต้องโดนตบอีก”
กริ๊ง...กริ๊ง...
เสียงกริ่งที่หน้าประตูรั้วดังขึ้นก่อนที่มือหยาบจะได้ฟาดลงบนแก้มนิ่มอีกครั้ง
“ใครมาวะ มึงไปดูซิ”
ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายบอกซ้ำสอง สุณิชาก็รีบวิ่งออกไปที่หน้าบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วเธอก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่หลังประตูรั้วที่ใกล้ผุพังนั้น
“เอ่อ...คุณมาหาใครเหรอคะ”
“เธอชื่อสุณิชา เป็นลูกของบัวบงกชใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ คุณรู้จักหนูด้วยเหรอคะ”
“ใช่ ฉันเป็นพี่ชายของเธอ ฉันมารับเธอไปอยู่ที่อื่น”
“พี่ชาย? นี่คุณพูดอะไรคะ หนูงงไปหมดแล้วนะ หนูเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้องที่ไหนซะหน่อย คุณเป็นมิจฉาชีพรึเปล่าเนี่ย”
เธอมองเขาอย่างไม่ไว้ใจนัก
“ก่อนจะว่าฉันเป็นมิจฉาชีพก็อ่านจดหมายนี่ซะ แล้วเธอจะเข้าใจทุกอย่างเอง”
บอกแล้วเขาก็ยื่นซองจดหมายให้กับเธอ และเมื่อหญิงสาวเปิดซองออกเธอก็เห็นรูปใบหนึ่งที่ทำให้น้ำตาของเธอเอ่อคลอ เพราะมันเป็นรูปของมารดาสมัยที่ท่านยังสาวๆ แต่ข้างกันนั้นมีรูปผู้ชายอีกคนยืนอยู่ด้วย ผู้ชายคนนั้นหน้าตาคล้ายคนที่ยืนอยู่ตรงนี้แต่ดูมีอายุกว่ามากทีเดียว ที่สำคัญคือมารดาของเธอกำลังอุ้มเด็กทารกคนหนึ่งเอาไว้ในอ้อมแขนและนั่นก็น่าจะเป็นเธอเอง
เธอเงยหน้ามองเขาเหมือนอยากจะตั้งคำถาม แต่เมื่อเห็นเขามองไปที่จดหมายในมือเธอ หญิงสาวก็คิดว่าบางทีคำตอบที่เธออยากรู้อาจจะอยู่ในจดหมายฉบับนี้ก็ได้ เธอจึงได้รีบเปิดจดหมายออกอ่านในทันที
หญิงสาวตั้งใจอ่านข้อความทุกประโยคทุกบรรทัด ก่อนที่มือน้อยจะสั่นเทาเพราะเนื้อความในจดหมายมันมีทั้งความดีใจและความเจ็บปวดซ่อนอยู่ในนั้น
ถึง...ณิชาลูกรัก
ก่อนอื่นพ่อคงต้องขอโทษที่ทอดทิ้งลูกมานานหลายปี เพราะแม่ของลูกไม่อยากให้ลูกรู้ความจริงว่าหนูยังมีพ่ออยู่ตรงนี้อีกคน นั่นเป็นเพราะว่า...พ่อเองก็มีครอบครัวอยู่แล้ว แต่พ่อก็ยังเผลอใจไปรักแม่ของหนูจนทำให้หนูเกิดมา
มีถ้อยคำมากมายที่พ่ออยากจะพูดอยากจะบอกแต่พ่อก็ไม่สามารถทำได้ตามใจ แต่เมื่อพ่อได้รู้ว่าแม่ของหนูไม่อยู่แล้ว พ่อก็รีบส่งคนตามหาหนูจนกระทั่งพบเพื่อมอบชีวิตใหม่ให้กับหนูในฐานะพ่อคนหนึ่ง
ผู้ชายที่เป็นคนนำจดหมายฉบับนี้มาให้ เค้าคือพี่ชายคนละแม่ของหนูชื่อพี่กร พ่อขอให้หนูทำตามที่เค้าบอก เพราะเค้าจะเป็นคนดูแลหนูแทนพ่อทุกอย่างนับจากนี้ไป
แต่มีอย่างหนึ่งที่พ่ออยากจะขอให้หนูทำ...แม้ว่ามันจะเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัวและโหดร้ายกับหนูมาก แต่พ่อก็จำเป็นต้องขอ นั่นก็คือขอให้หนูอยู่แต่ในที่ของตัวเอง อย่าแสดงตัวว่าหนูเป็นลูกอีกคนของพ่อเพื่อชีวิตที่สงบสุขของหนูเอง
รัก...จากพ่อ
“นี่หมายความว่า หนู...เป็นลูกนอกสมรสของพ่อพี่เหรอคะ”
เธอถามเขาหลังจากอ่านจดหมายจบ แม้ในจดหมายจะบอกชัดเจนแล้วว่าเธอเป็นใคร แต่เธอก็ยังอยากจะถามให้แน่ใจอีกที
“อืม จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ ไปเก็บของเถอะ เธอควรจะได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ พี่รอที่รถนะเสร็จแล้วก็รีบออกมาละกัน” เขาพูดขึ้นเมื่อเห็นเธอเก็บจดหมายลงในซองพร้อมกับรูปถ่ายใบนั้น
“ถ้าหนูไปแล้ว...ชีวิตของหนูจะดีขึ้นกว่านี้จริงๆ ใช่มั้ยคะ”
“หรือเธอพอใจจะอยู่ที่นี่กันล่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นพี่จะได้กลับ แล้วจะไม่มาหาเธออีกแล้ว”
“ไม่ค่ะ หนู...หนูอยากอยู่ที่อื่น แต่เงินค่าทำศพของแม่ ป้าเค้าเอาไปหมดแล้ว ถ้าหนูย้ายออก หนูก็...ไม่มีอะไรเหลือเลย”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ค่าใช้จ่ายทุกอย่างของเธอ พี่จะจัดการให้เอง”
“จริงเหรอคะ”
“ใช่”
“นังณิชา ใครมาน่ะ” เสียงป้าของเธอดังมาจากด้านหลัง ทำให้พวกเขาหันไปมองพร้อมกัน
“แหม แกนี่มันไวไฟจริงนะ เพิ่งเรียน ม.ต้น จบไม่ทันไรก็มีผู้ชายมารอถึงหน้าบ้าน แถมยังขับรถหรูซะด้วย ที่แท้ก็แอบขายตัวแต่ไม่ยอมบอกกันนี่เอง”
สุณิชาอ้าปากเตรียมจะเถียงกลับ แต่ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอหาทางออกให้กับตัวเองด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด และป้าจะไม่มีวันมายุ่งกับเธอได้อีกด้วย
“ค่ะป้า นี่เสี่ยที่เลี้ยงหนูเอง พอดีว่าพี่เค้าอยากพาหนูไปอยู่ด้วย งั้นหนูขอไปเก็บของก่อนนะจ๊ะ จะได้ไม่ต้องอยู่ให้เปลืองค่าข้าวค่าน้ำของป้าอีก” ไม่พูดเปล่าแต่เธอยังแกล้งเข้าไปกอดแขนพี่ชายต่างมารดาที่เพิ่งรู้ว่ามีแล้วทำยิ้มระรื่นเหมือนคนที่กำลังจะย้ายไปอยู่กับเสี่ยจริงๆ
“โอ๊ย...กูเดาไว้แล้วไม่มีผิด เชิญเลยจ้าแม่คุณ ขอให้ไอ้หนุ่มนี่เป็นเสี่ยจริงๆ ไม่ใช่แมงดาเหมือนพ่อของมึงก็แล้วกัน”
“ช่วยระวังคำพูดหน่อยนะครับป้า ถ้าไม่รู้อะไรก็ไม่ควรกล่าวหาคนอื่นส่งเดช” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้น แววตาของเขาดุดันจนเธอรู้สึกขนลุกพิกล
“เชอะ ไม่ยุ่งก็ได้ ไปตลาดดีกว่า เย็นนี้มีเรื่องให้ฉลองแล้วโว้ย...ตัวกาลกิณีมันจะออกไปจากบ้านแล้ว” บอกแล้วเธอก็เดินออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังแอบชำเลืองมองรถเอสยูวีคันใหญ่ป้ายแดงที่อีกฝ่ายขับมาก่อนจะเบะปากอย่างหมั่นไส้