เมื่อเข้ามาในบ้านแล้ว เขาก็พาเธอไปดูจนทั่วบริเวณบ้าน เธอจึงเห็นว่าที่นี่มีสองห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องครัวและหนึ่งห้องรับแขกซึ่งแต่ละห้องมีเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นอย่างครบครัน
“ในตู้เย็นมีของสดทั้งเนื้อทั้งผักแล้วนะ ส่วนตู้ตรงนั้นก็มีพวกของแห้ง น่าจะพอให้อยู่ได้สักสองสามอาทิตย์ แต่พี่จะแวะมาหาทุกอาทิตย์เผื่อมีอะไรขาดเหลือ จำเอาไว้ว่าเบอร์ที่พี่ให้ไปถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็อย่าโทร เอาไว้พี่จะโทรหาเราเอง”
“ค่ะ”
เธอพยักหน้ารับเพราะเข้าใจสถานะลูกนอกสมรสของตัวเองดี
“ตรงนั้นมีคอมพิวเตอร์กับเครื่องพรินต์เอาไว้ทำรายงานส่งอาจารย์ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะพาเราไปสมัครเข้าเรียน ม.ปลาย ที่โรงเรียนใกล้ๆ บ้านนี่แหละ เสร็จแล้วตอนบ่ายก็จะไปที่ดิน ไปโอนบ้านหลังนี้เป็นชื่อของเธอให้เรียบร้อย”
“ขอบคุณค่ะ”
“สำหรับเงินเดือนของเราพี่จะโอนมาให้เดือนละสองหมื่น เราก็เอาไว้ซื้อของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นแล้วก็เอาไว้เป็นค่าข้าวค่าเดินทางละกัน หน้าปากซอยมีวินให้นั่งไปป้ายรถเมล์ข้างนอกได้ ถ้าจะไปไหนต่อก็เรียกแท็กซี่หรือไม่ก็แกร็บไปก่อน ส่วนเรื่องรถยนต์รอให้เราขึ้นมหาวิทยาลัยแล้วพี่จะดูให้อีกที”
ได้ยินอย่างนั้นเธอก็อดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้ เพราะสิ่งที่ได้รับจากบิดามันมากมายเกินกว่าที่เธอคิดไว้ เดิมทีเธอคิดว่าเขาจะพามาเช่าห้องราคาถูกๆ อยู่ด้วยซ้ำไป ไม่คิดเลยว่านอกจากจะได้เรียนหนังสือต่อแล้ว เธอยังจะมีบ้านเป็นของตัวเอง มีเงินเดือนใช้เดือนละตั้งสองหมื่น แถมยังจะมีรถยนต์ขับตอนเรียนมหาวิทยาลัยอีกด้วย
ใครจะไปคิดว่าชีวิตอันแสนอาภัพของเธอจะพลิกจากหลังเท้าเป็นหน้ามือได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้เธอยังโดนป้าทุบตีเพราะทำจานแตกอยู่เลย
“ขอบคุณพี่กรมากนะคะที่พาหนูมาอยู่ที่นี่ หนูสัญญาว่าหนูจะไม่ทำตัววุ่นวาย จะไม่ทำให้ครอบครัวของพี่รู้ว่าหนูเป็นใครแน่นอน แล้วหนูก็จะไม่โทรหาถ้าไม่จำเป็นจริงๆ”
“อืม ขอโทษนะที่พี่เปิดเผยฐานะของเราไม่ได้ เพราะถ้ามีใครรู้ว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน คนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือณิชานั่นแหละ”
“หนูเข้าใจค่ะ แล้วก็ขอบคุณพี่มากที่ไปรับหนูมาอยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นหนูก็คงต้องทนโดนป้าโขกสับไปตลอดชีวิต”
“อย่าไปคิดอะไรมากเลย ตอนนี้ถือว่าณิชาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็ขอให้ใช้ชีวิตนี้ให้ดี ยังไงก็ยังมีพี่อยู่อีกคนที่จะคอยดูแลเราตลอดไป”
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ” เธอยกมือไหว้เขาทั้งน้ำตา เขาจึงได้ยื่นมือไปลูบที่ศีรษะเล็กแผ่วเบา
“ตรงนั้นมีเบอร์ รปภ.ที่หน้าหมู่บ้านกับร้านขายข้าวอยู่ ถ้าไม่อยากทำอาหารเองก็โทรไปสั่งให้เค้ามาส่งได้ แล้วถ้ามีอะไรก็โทรไปตาม รปภ.ให้เค้ามาดูก่อนแล้วค่อยโทรหาพี่ เพราะยังไง รปภ.เค้าก็อยู่ใกล้เรามากกว่า แต่ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรก็ต้องโทรบอกพี่นะ เข้าใจมั้ย” เขาชี้ไปที่หน้าตู้เย็นที่มีกระดาษโน้ตแปะเอาไว้
“ค่ะ หนูเข้าใจแล้ว”
“อืม งั้นเดี๋ยวพี่จะกลับก่อน พอพี่กลับแล้วก็ล็อกบ้านให้เรียบร้อยล่ะ อ้อ นี่มือถือใหม่กับเบอร์โทรใหม่ เครื่องเก่าเบอร์เก่าก็ไม่ต้องใช้แล้วนะ พี่ไม่อยากให้ป้าของเรารู้ว่าเราย้ายมาอยู่ที่นี่ เดี๋ยวจะวุ่นวายซะเปล่าๆ” เขาเดินไปหยิบถุงกระดาษใบหนึ่งแล้วยื่นให้กับเธอ
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวยกมือไหว้แล้วรับของจากเขามาถือเอาไว้
“งั้นพี่ไปล่ะ ตามไปล็อกรั้วด้วยล่ะ ส่วนเงินนี่เอาติดตัวไว้ก่อน พรุ่งนี้เสร็จจากโอนบ้านแล้วพี่จะพาไปเปิดบัญชีที่ธนาคาร หลังจากนี้พี่จะได้โอนเงินเดือนได้สะดวก” เขาบอกพร้อมกับล้วงเอากระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบธนบัตรสีเทาขึ้นมาปึกหนึ่งก่อนจะยื่นส่งให้เธอ
“ขอบคุณนะคะ”
เธอยื่นมือไปรับเงินมาใส่ในถุงโทรศัพท์มือถือก่อนจะเดินตามเขาออกไป เมื่อเขาก้าวขึ้นรถแล้วเธอจึงได้รีบล็อกประตูรั้ว จากนั้นก็กลับเข้าบ้านแล้วล็อกประตูบ้านตามที่เขาสั่ง
หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาหน้าทีวีเครื่องใหญ่ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือแบรนด์ดังที่ยังไม่ได้แกะกล่องขึ้นมาซึ่งในถุงนั้นมีซิมการ์ดอยู่ด้วย
จากนั้นเธอก็แกะเครื่องแล้วใส่ซิมการ์ดเข้าไปก่อนจะตั้งค่าเครื่องจนเสร็จเรียบร้อย เพราะตอนนี้สิ่งสำคัญกว่าการจัดกระเป๋าก็คือเครื่องมือสื่อสาร พอตั้งค่าเครื่องจนสำเร็จ เธอก็นำสมุดโน้ตเล่มเล็กที่จดเบอร์โทรของเขาขึ้นมาแล้วบันทึกเบอร์ลงในเครื่อง รวมถึงเบอร์ รปภ. หน้าหมู่บ้านและร้านขายข้าวที่เขาบอก
และสามเบอร์นี้ก็กลายเป็นเบอร์ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอในตอนนี้ไปแล้ว
เมื่อจัดการกับโทรศัพท์เรียบร้อย เธอก็ลากกระเป๋าเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง ก่อนจะนำเสื้อผ้าทั้งหมดไปเก็บในตู้ แล้วจึงได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้สบายตัว จากนั้นก็ไปที่ห้องครัวแล้วต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่ผักกับหมูสับกินง่ายๆ ให้พออยู่ท้อง ก่อนจะนั่งเตรียมเอกสารในการสมัครเรียนพรุ่งนี้ให้พร้อมเอาไว้ รวมถึงเอกสารการรับโอนบ้านหลังนี้ด้วย
แม้จะยังรู้สึกไม่เคยชินกับการต้องอยู่คนเดียว แต่เธอไม่มีเวลาให้มานั่งเศร้าเสียใจอีก ก็อย่างที่เขาบอกว่าเธอมาที่นี่เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ เธอก็ควรจะทิ้งอดีตเอาไว้ด้านหลังแล้วใช้ชีวิตต่อไปให้ดี เผื่อว่าแม่ของเธอมองอยู่บนฟ้า ท่านจะได้ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอีก
ไม่ว่าพ่อของเธอจะเป็นใครมันก็คงไม่สำคัญเท่ากับว่าท่านยังไม่ลืมลูกคนนี้ แม้จะต้องอยู่อย่างไม่มีตัวตนในครอบครัวของท่านไปตลอดชีวิตก็ไม่เป็นไร เพราะสักวันเธอก็คงจะสามารถสร้างครอบครัวของตัวเองได้สำเร็จ
สักวัน...คงจะมีใครสักคนที่รักเธอด้วยใจจริง คนที่กล้าบอกคนอื่นอย่างภาคภูมิใจว่าเขาเป็นสามีของเธอและพ่อของลูกเธอ เมื่อถึงตอนนั้นเธอก็จะได้มีตัวตนในสายตาของคนที่รักเธอและเธอก็รักเขาจริงๆ สักที