“จื้อเออร์ เจ้าพูดว่าอย่างไรก่อนที่โสมจะหายไป” จางหมินถามบุตรี
“ข้ากำลังเก็บโสมใส่ตะกร้าแล้วพูดว่า ข้านำไปเก็บก่อนนะเจ้าคะ”
ลู่จื้อกำลังแสดงท่าทางตอนเก็บโสมให้ทุกคนดู โดยใช้แก้วน้ำที่วางบนโต๊ะของท่านพ่อถือไว้ด้วย
แก้วน้ำในมือก็หายไปพอนางพูดว่าเก็บ
ตอนนี้เป็นนางเองที่กระโดดตัวลอย ลู่เพ่ยก็หงายหลังล้มจากเก้าอี้ นางจินหรูก็กระโดดไปจับตัวจางหมินไว้ พอสงบสติอารมณ์กันได้แล้วจึงได้รู้ว่า ลูกสาวของตนมีบางสิ่งผิดปกติ
“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร” จินหรูพึมพำกับตัวเอง สติของนางล่องลอยไม่อยู่กับตัวแล้ว
“จื้อเออร์ แขนของเจ้าไปโดนอะไรมา” จางหมินเห็นข้อมือลู่จื้อมีรอยเลือดที่แห้งแล้วอยู่
“เอ่อ... ข้าโดนกิ่งไม้เกี่ยวตอนเข้าไปเก็บไก่ป่าเจ้าค่ะ” ลู่จื้อเพิ่งจะสังเกตเห็นข้อมือของตนมีรอยบาด ทั้งยังมีเลือดที่แห้งกรังแล้วอยู่ด้วย
“เอ๊ะ” ตอนนี้นางรู้แล้วว่าของหายไปได้อย่างไร
ที่ข้อมือปรากฏกำไลวงที่พ่อบ้านให้นางก่อนจะไปอยู่หมู่บ้านชนบท แต่ทำไมไม่มีใครเห็น หรือนางจะเห็นเพียงแค่คนเดียว
ลู่จื้อลองกำหนดจิต แล้วคิดว่าให้โสมออกมา บนโต๊ะตรงหน้าก็ปรากฏตะกร้าโสมขึ้น
“ปะ เป็น ไป ได้ อย่าง ไร” ลู่เพ่ย พูดตะกุกตะกักออกมา
“ข้าคิดว่า ข้าได้สิ่งนี้มาตอนที่ข้าหลับไปสามวันเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้านึกว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณลอยออกไปในที่ไกลแสนไกล ที่นั่นแตกต่างจากที่นี่ยิ่งนัก มีบ้านเรือนหลังใหญ่โต สูงเทียมฟ้า มีสิ่งที่เรียกว่ารถ วิ่งได้เร็วกว่ารถม้า บนฟ้ายังมีนกยักษ์คนที่นั่นเรียกว่าเครื่องบน ใช้เดินทางไปต่างแคว้นได้เร็วยิ่งนัก” นางหยุดพูดแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม
ลู่จื้อยอมเล่าเรื่องชีวิตในโลกก่อนของนางให้ฟังเล็กน้อย ด้วยคิดว่าตอนนี้พวกเขาคือคนในครอบครัวของนาง อย่างไรสักวันก็ต้องรู้อยู่ดี
ทุกคนต่างรอให้นางพูดต่อ นางจินหรูน้ำตาไหลหลังจากที่บุตรีพูดถึงวิญญาณนางออกจากร่าง จางหมินก็กัดฟันแน่นข่มความโมโหที่บุตรีโดนบ้านใหญ่รังแก ลู่เพ่ยลูบหัวน้องสาว เขาคิดว่าตัวเขาช่างไม่ได้เรื่องปล่อยให้น้องของตนเกือบตาย
“ข้าเรียนรู้เรื่องราวมากมายของคนที่นั่น สิ่งของแปลกใหม่ที่ข้าไม่เคยได้เห็น ข้าบังเอิญได้รับกำไลว่าหนึ่งวงเป็นหยกสีดำเนื้อดี”
“เพียงแต่ไม่มีใครมองเห็น แล้วข้าก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้วไม่คิดว่ามันจะติดตัวข้ากลับมาด้วยเจ้าค่ะ” ลู่จื้อยกข้อมือของตนให้ทุกคนดู แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นคือรอยแผลที่นางได้รับตอนจับไก่
“เรื่องนี้ห้ามพูดให้ใครฟังเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นลู่จื้อจะได้รับอันตราย” จางหมินสั่งทุกคน ทั้งสามพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
จากนั้นทั้งสี่คนจึงหันมาสนใจตะกร้าโสมที่อยู่ด้านหน้า จางหมินที่เคยเข้าอำเภอไปขายสัตว์ป่ามาบ้างก็แนะนำให้บุตรของตนนำโสมไปขายให้ร้านยาฮุ่ยชิว (เมตตา) เป็นร้านที่ให้ราคายุติธรรมที่สุดในเมืองแล้ว
ลู่จื้อคิดว่าจะนำโสมร้อยปีสองหัว กับสามร้อยปีหนึ่งหัว ไปขายก่อนเงินที่ได้คงพอให้รักษาบิดากับสร้างบ้าน นางเป็นกังวลเรื่องบ้านยิ่งนัก หากวันใดมีพายุเข้าทั้งสี่ชีวิตคงไม่มีที่ซุกหัวนอนแน่
สองพี่น้องตื่นนอนยามเหมา (05.00-06.59) เมื่อกินข้าวเรียบร้อยก็รีบไปรอขึ้นเกวียนหน้าหมู่บ้าน เกวียนจะวิ่งเข้าเมืองสองรอบต่อวัน ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อก็ถึง
ค่าเกวียนคนละหนึ่งอิแปะ ชาวบ้านส่วนมากจะเดินเท้าไปเพราะใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็ถึง หากมีกำลังเงินก็นั่งเกวียน ลู่จื้อเริ่มมีเงินแล้วนางย่อมต้องนั่งเกวียน
ลู่เพ่ยจ่ายเงินค่าเกวียนเสร็จก็พาน้องสาวขึ้นไปนั่ง
“โอวโยว นึกว่าใคร เจ้าสองคนพี่น้องมีเหรียญทองแดงจ่ายค่าเกวียนหรือ” คิดว่าใครป้าสะใภ้ใหญ่ที่รักนี้เอง
“ท่านแม่ข้าไม่อยากนั่งใกล้มันเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวชุดใหม่ของข้าสกปรกหมด” ลู่จื้อเดินเข้าไปนั่งติดจางเยว่ จนนางต้องเขยิบตัวออกห่าง
“เจ้า” จางเยว่ที่กำลังจะอ้าปากด่าทอก็โดนนางเกาหงมารดาของตนห้ามไว้
“เยว่เออร์เจ้าอย่าได้โมโหไปเลย วันนี้เป็นวันดีของเจ้า” สองแม่ลูกสบตากันอย่างมีความหมาย จางเยว่หันมามองลู่จื้อแล้วยิ้มเยาะ
ลู่จื้อไม่สนใจสองแม่ลูกนั่นอยู่แล้ว ไม่นานเกวียนก็จอดลงที่หน้าประตูเมือง สองพี่น้องไม่สนใจแม่ลูกคู่นั้นอีก ทั้งสองรีบเดินไปร้านยาฮุ่ยชิวทันที
ร้านยาฮุ่ยชิวเป็นร้านยาขนาดกลาง ด้านหน้าขายยา ด้านหลังมีหมอตรวจรักษา มีชาวบ้านเข้ามาซื้อยาขายสมุนไพรตลอดเวลา จึงทำให้มั่นใจได้ว่า ที่นี่ให้ราคายุติธรรมจริง
“ไม่ทราบว่ามาซื้อยาหรือมาขายสมุนไพรขอรับ” เสี่ยวเอ้อหน้าร้านต้อนรับสองพี่น้องอย่างดี ไม่แสดงท่าทางรังเกียจให้เห็น
“มาขายสมุนไพรเจ้าค่ะ แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าท่านคงไม่อยากให้ข้านำออกมาตอนนี้แน่นอน”
เสี่ยวเอ้อที่ทำงานมานานเมื่อได้ฟังลู่จื้อพูดเขาก็เข้าใจได้ในทันที พี่น้องคู่นี้ต้องนำสมุนไพรหายากมาขายแน่นอน
“เชิญท่านทั้งสองด้านในก่อนขอรับ ข้าน้อยจะเรียกผู้ประเมินมาตรวจดู” เสี่ยวเอ้อเดินหายไปในห้องด้านหลังแล้วออกมาพร้อมกับชายชรา
“เจ้าสองคนนำสิ่งใดมาขาย เอาออกมาให้ข้าตรวจดูได้เลย ข้าหมอฉีเจ้าของโรงหมอและร้านยาฮุ่ยชิว” ลู่จื้อสะกิดลู่เพ่ยให้หยิบโสมทั้งสามหัวออกมา
“ข้าน้อยคารวะท่านหมอฉี ข้าจางลู่เพ่ย และน้องสาวจางลู่จื้อขอรับ”
ลู่เพ่ยวางห่อผ้าที่เก่าจนแทบจะเหมือนผ้าเช็ดพื้นลงบนโต๊ะ เขาค่อยๆ เปิดออกเพราะกลัวจะทำให้รากโสมหลุดออกมา
“นะ นี่ พวกเจ้าช่างโชคดีจริงๆ นานมากแล้วที่เมืองเฉียงไห่ไม่มีชาวบ้านนำโสมมาขาย” หมอฉีใช้สองมือค่อยๆ หยิบโสมหัวใหญ่ที่สุดขึ้นมาดู
“โสมสามร้อยปี สมบูรณ์มาก พวกเจ้าขุดมาได้ดีจริงๆ ไม่เสียหายเลย” หมอฉีลูบเคราอย่างพอใจ เขามองพิจารณาสองพี่น้องจาง ทั้งคู่ต้องมีคนใดแน่นอนที่มีความรู้เรื่องสมุนไพร เพราะสามารถเก็บได้อย่างถูกวิธี
“โสมร้อยปี สองหัวข้าให้หัวละสามร้อยตำลึงทอง โสมสามร้อยปี หนึ่งหัวมีทั้งดอกครบข้าให้ หนึ่งพันตำลึงทอง พวกเจ้าพอใจหรือไม่”
“พอใจเจ้าค่ะ” หมอฉีสั่งให้หลงจู๊นำตั๋วเงินและเงินตำลึงมาให้สองพี่น้อง