จางเสียนกับกู้เหลี่ยงมาหา

1516 Words
ลู่จื้อจึงนำตำราออกมาให้ลู่เพ่ยได้ศึกษา ก่อนหน้านี้ลู่เพ่ยเคยได้เขียนอ่านมาบ้างแล้วจากบิดาจึงทำให้สามารถอ่านตำราได้ บิดาของตนเคยได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาเช่นท่านลุงใหญ่ แต่ทั้งคู่สอบหลายรอบแล้วไม่ผ่านจึงเลิกเรียนออกมาทำงานแทน ท่านใหญ่ลุงจางเสียนได้ดูแลบัญชีให้กับร้านขายผ้าในตัวเมือง โดยส่งเงินให้ท่านย่าใช้ภายในบ้านทุกเดือน บิดาของนางจึงต้องอยู่บ้านทำนา ขึ้นเขาล่าสัตว์แทน นี้คืออีกเหตุผลที่ลุงใหญ่กับป้าสะใภ้ใหญ่มีอำนาจภายในบ้านมากจนท่านปู่ท่านย่าเกรงใจ "น้องสะใภ้อยู่หรือไม่" เสียงตะโกนเรียกหน้าบ้านทำให้ลู่เพ่ยรีบเก็บตำราแล้วออกไปดู เป็นท่านลุงใหญ่ของตนกับกู้เหลี่ยง "ท่านแม่ดูแลท่านพ่ออยู่ขอรับ เชิญท่านลุงกับท่านลุงกู้ด้านในขอรับ" ลู่เพ่ยเปิดทางให้ทั้งสองเข้ามา "ขออภัยข้าไม่อาจลุกออกไปต้อนรับพวกท่านทั้งสองได้" จางหมินเอ่ยปากพูดกับทั้งคู่ ลู่จื้อนำน้ำออกมาต้อนรับแขกแล้วปลีกตัวออกไปอย่างรู้ความ ตอนนี้ในห้องของจางหมินมีเพียง จางเสียนกับกู้เหลี่ยงเท่านั้น จางเสียนมองน้องชายของด้วยที่นอนเป็นคนพิการอยู่บนเตียง ตัวเขาก็ตอบไม่ได้เช่นกันว่ารู้สึกเช่นใดกับน้องชาย เขาสองพี่น้องมิได้รังเกียจกัน แต่จะให้ตนมาเลี้ยงดูครอบครัวของน้องชายด้วยเขาก็ไม่ต้องการ "ที่ข้าทั้งสองคนมาในวันนี้ ก็เรื่องหมั้นหมายของกู้ซานกับจื้อเออร์" จางเสียนเหลือบมองน้องชายก่อนจะพูดต่อ "เจ้ายังไม่ได้ยินยอมรับการหมั้นหมายของเด็กทั้งสองคน วันนี้ข้าเลยมาบอกเจ้าว่า อาซานจะหมั้นหมายกับเยว่เออร์ ยังไงซะก็เป็นคนตระกูลจางเหมือนกัน จะเป็นเยว่เออร์หรือจื้อเออร์ก็คงไม่ต่าง แต่อาซานพึงใจในเยว่เออร์ของข้า ข้าจึงมาบอกเจ้าเสียหน่อย" จางหมินนึกไม่ถึงว่าทั้งคู่จะมาด้วยเรื่องนี้ กู้เหลี่ยงมองผู้มีพระคุณอย่างละอายใจ แต่จะทำเช่นไรได้ในเมื่อบุตรชายของตนย่อมมีอนาคตที่ดีกว่านี้ หากแต่งกับลู่จื้อไปบุตรของตนก็คงหมดอนาคตเพราะครอบครัวของภรรยาเป็นตัวถ่วง จางหมินก็ไม่ได้มีความคิดที่จะให้บุตรีของตนแต่งเข้าตระกูลกู้ตั้งแต่แรก ยิ่งทั้งคู่เผยธาตุแท้ออกมาเช่นนี้เขายิ่งรู้สึกว่าโชคดีที่ไม่ได้รับปากกับกู้เหลี่ยงตั้งแต่แรก “แล้วแต่พวกท่านจะเห็นสมควร ข้าไม่คิดจะให้อาซานแต่งเพื่อทดแทนบุญคุณอยู่แล้ว” เพียงคำพูดของจางหมินก็เหมือนตบหน้ากู้เหลี่ยงที่กลืนคำพูดของตนแล้ว “หากพวกท่านไม่มีสิ่งใดแล้ว เชิญกลับไปเถิด ข้าต้องการพักผ่อนแล้ว” จางหมินก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับทั้งคู่อีก พี่ชายของตนก็เห็นแก่ตัวนัก กู้เหลี่ยงก็เช่นกัน ตนไม่คิดจะให้ครอบครัวต้องมาเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้อีก เมื่อโดนเจ้าบ้านเอ่ยไล่ทั้งคู่ก็ไม่มีเหตุผลต้องอยู่ต่อ แล้วเรื่องที่มาก็เพียงแค่ต้องการมาบอกกล่าว หาได้มาเพื่อให้จางหมินเห็นด้วย หากจางหมินไม่เห็นด้วยจางเสียนก็มีหลายทางที่จะทำให้งานหมั้นหมายครั้งนี้สำเร็จ ลู่เพ่ยที่ส่งทั้งสองออกไปแล้วก็เข้ามาหาบิดา เห็นมารดาและน้องสาวนั่งรออยู่ก่อนแล้วจึงได้เอ่ยอย่างโมโห “ท่านลุงใหญ่น่ารังเกียจยิ่งนัก ท่านลุงกู้ก็เช่นกัน ข้ายังจำวันที่ท่านลุงหามท่านพ่อลงมาจากเขา แล้วเอ่ยปากจะให้กู้ซานหมั้นหมายกับน้องสาวได้ดี” “ข้าก็ว่าทำไมจางเยว่ต้องผลักข้าลงแม่น้ำด้วย ก็คงจะเป็นเพราะเรื่องของกู้ซานนี้เอง” ลู่จื้อนึกสงสารร่างเดิมที่ไม่ได้รู้เรื่องราวแล้วยังต้องมาโดนจางเยว่ผลักตกน้ำจนถึงตาย นางขึ้นบัญชีดำจางเยว่ไว้ในใจ เมื่อสบโอกาสเมื่อไหร่นางจะเอาคืนแทนร่างเดิมอย่างแน่นอน จางหมินกับจินหรูเมื่อเห็นบุตรีไม่มีท่าทางเสียใจก็โล่งอก “กินข้าวกันเถิดเจ้าค่ะ ข้าหิวแล้ว” ทุกคนลืมไปเลยว่าเลยเวลากินข้าวมาแล้ว ตอนนี้บ้านรองจางกินข้าวสามมื้อ ต่างจากคนในหมู่บ้านที่กินเพียงสองมื้อเท่านั้น หากบ้านใดที่พอจะเงินใช้คล่องมือ ก็กินสามมื้อเช่นกัน หลังจากกินข้าวมื้อกลางวันเสร็จ ลู่จื้อจึงเริ่มนำโสมออกมาทำเป็นโสมแดง แม้ในมิติจะคงรักษาสภาพไว้ได้ แต่นางได้รับปากหมอฉีไว้แล้วว่าจะนำโสมแดงไปขายให้ โสมแดง คือ การนำรากโสมที่ตัดเฉพาะส่วนที่ดีมาล้างให้สะอาด เป็นโสมที่ผ่านกรรมวิธีการอบและฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง โดยการนำมาอบด้วยไอน้ำประมาณ 120-130 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 2-4 ชั่วโมง จนเป็นสีน้ำตาลแดง แล้วจึงนำไปอบให้แห้ง จะได้เป็นสีน้ำตาลแดง (ใส) โดยจะมีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์เพิ่มขึ้นอีก 4 ชนิด จึงมีราคาแพงกว่าโสมขาว ขายได้ราคาดีกว่า นางไม่รู้ว่าในยุคนี้วิธีการทำโสมแดงมีหรือยัง แต่ในยุคของนางนั้นโสมแดงเมื่อทำออกมาแล้วมีสรรพคุณมากกว่าโสมสดหรือโสมขาวที่เพียงนำไปตากให้แห้งมากนัก นางทำออกมาแค่เพียงห้าหัวโดยเลือกใช้โสมอายุไม่เกินห้าสิบปีเท่านั้นหากขายได้ราคาดี ค่อยทำเพิ่มก็ยังได้ นางจะขายให้หมอฉีสามหัวอีกสองหัวนางจะเก็บไว้บำรุงร่างกายของบิดาและมารดา ระหว่างที่กินมื้อเย็นลู่จื้อนางจึงเอ่ยพูดเรื่องสร้างบ้านขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านแม่สร้างบ้านใหม่ดีหรือไม่เจ้าคะ” “อืม...พ่อก็คิดเช่นเจ้า และจะซื้อที่ดินด้านข้างเรือนเพิ่มอีกด้วย” จางหมินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ท่านพ่อ ค่อยซื้อที่ดินหลังจากที่ตระกูลกู้หมั้นหมายกับอาเยว่เถิดขอรับ” ลู่เพ่ยกลัวว่าคนหน้าหนาพวกนั้นจะเปลี่ยนใจมาหมั้นหมายกับลู่จื้อแทน “เป็นท่านพี่ของข้าที่ฉลาดนัก” ลู่จื้อมองลู่เพ่ยอยากหยอกล้อ สามคนพ่อลูกนั่งพูดคุยเรื่องสร้างบ้านกับซื้อที่เพิ่มอย่างสนุกสนาน มีเพียงจินหรูที่นั่งก้มหน้านิ่งเงียบไม่ได้คุยด้วย “ท่านแม่เป็นอันใดไปรึเจ้าคะ” ลู่จื้อเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “แม่คิดถึงบ้านท่านตาท่านยายของเจ้า” นางที่เห็นครอบครัวของตนกำลังจะเริ่มสร้างบ้านก็นึกถึงบ้านเดิมของนางที่สภาพบ้านไม่ได้ต่างจากหลังนี้เท่าไหร่ บ้านเดิมท่านแม่อยู่ที่หมู่บ้านหนานไฉ ห่างจากหมู่บ้านหนานชุน ใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วยาม แต่ตั้งแต่นางแต่งออกมากลับไปบ้านเดิมเพียงห้าครั้งได้เพราะความเป็นอยู่ของนางก็ไม่ได้ดี ทั้งยังต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา เงินที่ท่านสามีหาได้แม่สามีก็เก็บทั้งหมด หากแอบเก็บไว้เองสะใภ้ใหญ่รู้ก็จะโวยวาย ทั้งที่ตัวนางก็แอบแบ่งเงิน ที่พี่สามีส่งมาเก็บไว้ นางยังต้องทำงานทั้งงานในนาและงานในเรือนจึงไม่มีเวลากลับไปบ้านเดิม ลู่จื้อนึกเห็นใจท่านแม่แต่ตัวนางก็เคยไปบ้านท่านตาท่านยายเพียงสองครั้งเท่านั้น บ้านท่านตาท่านยายมีกันหกคน ครอบครัวท่านตา 1. จินหาน ท่านตา 2. เกาเจิน ท่านยาย 3. จินเจ๋อ ท่านลุง 4. ชิงอี ป้าสะใภ้ 5. จินม่าน ลูกสาวจินเจ๋อ ออกเรือนไปแล้ว 6. จินเจา บุตรชายจินเจ๋อ อายุ 16 ปี 7. จินฉือ บุตรชาย อายุ 10 ปี นางอยากไปบ้านท่านตาสักครั้งหากบ้านท่านตาเป็นคนดีนางก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ไว้พวกเราไปบ้านท่านตาท่านยายกันเจ้าค่ะ หากท่านต้องการจะช่วยเหลือพวกเขา ข้าก็ไม่ขัด” “เป็นเช่นที่จื้อเออร์นางว่า ข้าเองก็ไม่ได้ช่วยเหลือพวกเขาเลย” จางหมินถอนหายใจออกมา “ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ แม่ขอบใจเจ้ามากจื้อเออร์ ที่เข้าใจแม่” เมื่อนางจินหรูได้ฟังบุตรีและสามีพูดเช่นนั้นก็เหมือนยกก้อนหินออกจากอก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD