บทที่ 4 แสงสว่างแห่งการเอาคืน 1/2

933 Words
“คุณอัสครับ เราค้นหาจนทั่วแล้ว ไม่พบร่างของคุณปานมุกเลยครับ” เมื่อตำรวจกลับไป อัสนีก็โดนเพ่งเล็งหนักจากผู้ถือหุ้นและสังคม สิ่งเดียวที่ทำให้เขาหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาคือ นำตัวเธอมายืนยัน “บัดซบ!” เพียงแค่คล้อยหลังตำรวจจะเป็นไปได้ยังไงที่ร่างของเธอจะหายไป หากตายก็ต้องพบศพ “หาให้ทั่ว ไม่พบไม่ต้องไสหัวกลับมา” เสียงคำรามลั่นสั่งอย่างเลือดเย็น ทั้งหันไปหาปิ่นปักที่ยืนตัวสั่นงันงก ไม่ยอมขยับไปไหนสักที “กลับไปได้แล้ว หากไม่เรียกไม่ต้องโผล่มาที่บ้านเธียรธีรา” “ค่ะ” สายตาของเขาน่ากลัวจนเธอไม่อาจจะดื้อดึงได้ เพียงแค่เธอขัดคำสั่งเขาตบสั่งสอนแม่ปานมุกไปแค่ฉาดสองฉาด หวังว่าคงไม่จัดการเธอไปด้วยอีกคนหรอกนะ เธอกราดมองไปที่เหล่าคนรับใช้ บอกให้รู้ว่าควรสงบปากสงบคำ เพราะคุณอัสนีไม่ชอบให้ใครทำเกินคำสั่ง ทั้งที่เธอถือวิสาสะมาค้นกระเป๋าของปานมุกด้วย แน่นอนว่าเขาไม่ได้สั่ง แต่เธอทำโดยพลการ เหล่าคนรับใช้มองปิ่นปักแล้วพาลกันหลบสายตาไม่กล้าสบตาของทั้งอัสนี และปิ่นปัก เพราะทั้งคู่นั้นอำมหิตพอกันจนไม่อาจจะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง อย่าเพิ่งตายถ้าไม่ได้พบกันอีก! คำนี้ก้องอยู่ในหูของอัสนี เป็นคำที่ปานมุกสั่งเสียงั้นเหรอ เขาไม่เข้าใจอะไรเลยเธอกล้าท้ายทายคนอย่างเขาได้อย่างไร เธอเปลี่ยนไป! อัสนีถอนหายใจออกมาอย่างเย็นชา เมื่อนึกถึงสายตาที่เธอมองเขาตอนที่เขาทำร้ายเธอ เธอไม่เคยเป็นอย่างนี้ ดวงตาที่แสนเย็นชาและขุ่นเคืองของเขามองไปยังเอกสารการหย่าที่เธอลงนามโดยไม่มีการลังเล หลังจากฟังตามคำบอกเล่าของกรกัญจน์ ‘เธออยากหย่ากับฉันงั้นเหรือ นึกว่าจะอยากอยู่กับฉันไปตลอดเสียอีก’ เขาคิดในใจ เพราะอะไรที่เธอชอบเขามักสั่งให้ทำตรงข้าม เรื่องหย่าก็เช่นเดียวกัน ที่จริงเขาคิดแผนให้กรกัญจน์จับเธอพิมพ์ลายนิ้วมือลงบนเอกสารด้วยซ้ำ แต่ไม่คิดว่าเธอยอมง่ายดายเพียงนี้ แต่เธอก็ทำเขาเจ็บแสบเช่นกันที่เปิดไลฟ์ให้คนเข้ามาดูด้านมืดของเขาที่ไม่อยากให้คนเห็น ตอนนี้เขาต้องจัดการงานศพของคุณย่ากลีบบัวเสียก่อน เรื่องอื่นค่อยสะสางทีหลังก็ไม่สาย เขาเก็บเอกสารแล้วก็ออกไปสั่งการ “หากนักข่าวมาสัมภาษณ์ห้ามใครปริปากพูดเด็ดขาด กล้องวงจรปิดในบ้านทำลายทิ้งให้หมด” ...... ณ บ้านพักวิลล่าของพิงพยัคฆ์เจ้าของสำหนักทนายความอันดับหนึ่ง “ไม่...ฉันตายไม่ได้...ไม่” ปานมุกละเมอแล้วก็ตกใจอย่างกะทันหัน เธอลุกขึ้นนั่งหายใจเข้าถี่รัวมองไปรอบกายอย่างหวาดหวั่น เพราะที่นี่เป็นห้องขนาดใหญ่ที่ตกแต่งหรูหราและไม่รู้สึกคุ้นตาเลยสักนิด “ที่ไหน?” ขณะที่ยังไม่ทันได้คิดทบทวนเรื่องราว ประตูห้องนอนถูกเปิดออก แม่บ้านสาวที่แต่งกายด้วยชุดยูนิฟอร์มสวยเดินเอายากับอาหารเข้ามาวางที่โต๊ะด้านข้างเตียง แล้วยิ้มทักทายเธอ “คุณผู้หญิงทานข้าวทานยานะคะ” แม่บ้านสาวโค้งให้อย่างสุภาพแล้วก็จากไปด้วยรอยยิ้ม “ดะ...เดี๋ยว!” ประตูห้องนอนถูกปิดแล้ว เธอยังไม่ทันได้รั้งหญิงสาวคนนั้นเลย ดวงตาเล็กกราดมองไปรอบ ๆ แต่ยังไม่ทันได้คิดหาคำตอบ ก็มีชายวัยสามสิบกลาง ๆ เดินเข้ามาหาเธอ “ตื่นแล้วเหรอหนูน้อยของฉัน” รอยยิ้มไร้กังวลส่งไปหาเธอที่กำลังมึนงง แต่สัญชาติญาณบอกว่าเขาไว้ใจได้ “คุณช่วยฉันไว้” เธอเลิกคิ้วถามเพื่อหาคำตอบแรกที่เธอตื่นมาในห้องหรูหราหมาเห่านี่ก่อน โครก คราก ! แต่เธอก็ทำลายบรรยากาศด้วยเสียงท้องที่ร้องอย่างหน้าอายจนต้องยิ้มเก้อให้เขา “ทานข้าวก่อน แล้วฉันจะเล่าให้ฟัง” อภิธาร พิงพยัคฆ์ เจ้าของสำนักกฎหมายอันดับหนึ่งในประเทศไทยมองเธอด้วยความเอ็นดู 15 ปีแล้วสินะที่เราไม่ได้พบกัน เด็กหญิงในตาเศร้าคู่นั้นทำให้เขาจดจำเธอได้ขึ้นใจ ปานมุกตักข้าวต้มกุ้งเข้าปากไป ก็รู้สึกกังวลยังไม่เสื่อมคลาย ทั้งยังมองเขาด้วยความระมัดระวัง สายตาเธอไม่ละจากเขาที่ยังอมยิ้มอย่างเอ็นดู เธอพยายามนึกว่าเขาเป็นใคร แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออก เพียงแต่รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเพียงเท่านั้น เมื่อทานข้าวเสร็จ เธอก็ก้มมองร่างกายที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นชุดนอนสีหวาน ความทรงจำครั้งสุดท้ายก่อนหมดสติไป เธอจำได้ว่าโดนน้องสาวตัวดีจับถอนเสื้อผ้าให้เหลือแต่ชุดซับในบางเบา แล้วก็จับโยนออกมาทางประตูหลังบ้านนี่นา แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนเป็นชุดนอนที่มีราคาแพงแทน ทั้งมองตัวเองสลับกับมองเขา “คุณเป็นคนเปลี่ยน” “ไม่ใช่...แม่บ้าน” เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยเขาก็เป็นสุภาพบุรุษพอ ไม่ใช่ผู้ชายตัณหากลับอย่างที่นึกเกรงกลัว “ฉันเคยเจอคุณใช่ไหม” อภิธารพยักหน้าเป็นคำตอบ แล้วก็ยิ้มให้กับคนขี้สงสัยเช่นเธอ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD