ตอนที่ 4
มาเป็นเพื่อนกันไหม
“งั้นเรามาเป็นเพื่อนกันมั้ย” ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่คำที่พูดไปนั้นมาจากใจจริง ๆ เดิมทีตัวฉันเองก็ไม่ได้มีเพื่อนมากมายเท่าไหร่หากมีเพื่อนเป็นผีก็ไม่เลวหรอกนะ
“เป็นได้เหรอ!” จัสตินเดินเข้ามาหาฉันสองก้าวแล้วถามออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ ใบหน้า ดวงตาของเขาที่แสดงออกว่ากำลังตื่นเต้นนั่นไม่ได้โกหก
“นายไม่แหกอกควักไส้มาหลอกฉันก็พอ” และไม่รู้ว่าบรรยากาศของเราเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ในเมื่อความรู้สึกของฉันบอกว่าไม่ได้กลัวเขา หากเป็นเช่นนั้นเราก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้โซย่าไม่ใช่คนใจจืดใจดำหรอกนะ
“ใครจะไปทำ! เจ็บตาย” จัสตินพูดออกมาพร้อมกับส่ายหน้าทำท่าขนลุกขนชันเป็นการสำทับ
“มันเจ็บด้วยเหรอ! นายเคยลองไหมรู้สึกเป็นยังไง” ด้วยความตื่นเต้นฉันก้าวเท้าเข้าไปหาเขาโดยไม่รู้ตัว ดวงตาทั้งสองจ้องมองใบหน้าของผู้ชายตรงหน้าอย่างรอคำตอบ
“มันก็รู้สึกแบบว่า..”
“โซย่าคุยกับใครน่ะลูก” ฉันสะดุ้งตัวโยนเพราะเสียงคุณแม่ที่เดินออกมาจากหน้าบ้าน ท่านตะโกนถามฉันที่ยืนอยู่ใต้เสาไฟฟ้า สายตาหันมองแม่สลับกับจัสตินอย่างตกใจ
“หนูก็คุยกับ..” ฉันที่กำลังจะตอบคำถามแม่ก็ต้องชะงักให้กับคำถามต่อมาของท่าน คุณแม่กวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะมาหยุดที่ใบหน้าของฉันโดยที่ท่านย ังยืนอยู่ที่ประตูรั้วบ้านดังเดิม
“กับใครลูก แม่ไม่เห็นจะมีใครเลย”
“กับ..เอ่อ..อ่อ! มูมู่ไงคะ” ฉันเปลี่ยนมานั่งลงเกาหัวเจ้าสุนัขตัวใหญ่ที่ไม่รู้ว่ามันดีใจอะไรนักหนาถึงได้กระดิกหางไม่พักเป็นเชิงยืนยัน ท่านเองก็เดินออกจากรั้วบ้านมาที่ฉันในขณะนั้นจัสตินเองก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไปได้หายไปไหน
วินาทีที่แม่เดินเข้ามาใกล้ระยะสายตาที่คิดว่าหากท่านมองเห็นสิ่งลี้ลับท่านน่าจะเห็นจัสตินเป็นแน่ แต่คุณแม่กลับเดินผ่านจัสตินมาหาฉันเสียอย่างนั้น ฉันตกใจที่เห็นอะไรแบบนี้แต่ก็ทำได้แค่เก็บไว้ในใจ และจัสตินเองก็คงสงสัยเพราะว่าเขาเดินตามคุณแม่มาติด ๆ จนทั้งคู่มาหยุดที่ตรงหน้าฉัน
“แล้วหนูออกมาทำไมดึก ๆ แบบนี้”
“คือ.. หนูเห็นมูมู่มันวิ่งออกมาข้างนอก หนูเห็นเลยวิ่งตามออกมาค่ะ”
“งั้นก็เข้าบ้านกันเถอะ เสื้อคลุมก็ไม่ใส่อากาศก็หนาวขนาดนี้เดี๋ยวไม่สบายนะลูก”
“ค่ะคุณแม่”
คุณแม่พูดจบก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านโดยที่เจ้ามูมู่นั้นวิ่งนำหน้าเข้าบ้านไปก่อนแล้ว ฉันเองก็เดินตามท่านกลับเข้าบ้านอย่างช้า ๆ พร้อมทั้งกวักมือเรียกจัสตินให้เดินตามด้วย เมื่อระยะห่างพอสมควรฉันกระซิบถามจัสตินที่เขาเองก็เดินอยู่ข้าง ๆ ด้วยเสียงที่เบาที่สุด
“คุณแม่ไม่เห็นนายเหรอ” ฉันพยายามป้องปากถามเขาให้เบาที่สุด
“คนปกติไม่มีใครเห็นผมนะ” แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทั้งทั้งที่เขาเป็นคนบอกเองว่าคนทั่วไปมองไม่เห็น แต่เขาก็กลับป้องปากกระซิบคุยกับฉัน
“แล้วทำไมฉันเห็นละ” ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นคำถามได้ไหม เพราะว่าจัสตินเองก็เหมือนว่าจะไม่รู้คำตอบ
“ไม่ใช่แค่เธอหรอก” ฉันหยุดเท้าที่กำลังเดินตามคุณแม่ที่กำลังจะเข้าบ้าน และหันไปมองหน้าเขาอย่างงุนงง หมายความว่ายังไงหมายถึงว่านอกจากฉันมีคนอื่นที่เห็นเขาด้วยอย่างงั้นใช่ไหม
และฉันก็ได้คำตอบเมื่อเขาหันหน้ามองขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน ซึ่งตรงนั้นคือห้องที่ฉันมองเห็นเขาเลยวิ่งตามลงมา เวลานี้หน้าต่างห้องมันถูกเปิดกว้างมีเด็กผู้ชายที่เดิมทีน่าจะนอนหลับไปแล้วกำลังมองมาที่เราสองคนด้วยใบหน้าตื่น ๆ
ฉันไม่แน่ใจว่าฟอร์ซเห็นแค่ฉันหรือว่าเห็นจัสตินด้วย แต่คำพูดก่อนหน้านั้นมันทำให้ฉันคิดว่าเขาต้องมองเห็นผู้ชายคนนี้แน่ ๆ เราสองคนยังคงมองขึ้นไปที่หน้าต่างชั้นสองอยู่แบบนั้นไม่มีใครขยับไปไหน และฟอร์ซเองก็ไม่ได้มีทีท่าจะละสายตาจากพวกเราไปเลยแม้แต่น้อย
“นายคิดว่าน้องชายฉันเห็นนายเหรอ”
“คิดว่าเห็นนะ” จัสตินขยับใบหน้ามาใกล้พร้อมทั้งเอ่ยเบา ๆ
“ทำไมคิดแบบนั้นละเขาอาจจะแค่มองฉันก็ได้” แม้จะรู้ดีว่าคำตอบคืออะไรแต่ก็ยังอยากจะถามอยู่ดี
“ไม่ใช่หรอก.. เขาน่าจะเห็นผมตั้งแต่รถของเธอมาถึงบ้านหลังนี้แล้วล่ะ เธอเข้าบ้านเถอะแม่เธอรออยู่นะ”
“แล้วนายจะไปอยู่ไหน ฉันจะเจอนายได้ยังไง” หลังจากที่พูดจบจัสตินได้เอื้อมมือมาจับข้อมือฉัน เขาดึงมันไปถูวน ๆ และมันทำให้ฉันแปลกใจมากว่าทำไมเขาสามารถจับตัวฉันได้ แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ถามคำถามอะไรจัสตินก็ดึงหลังมือของฉันไปจุมพิตหนึ่งครั้งก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบที่หลังมือราวกับถูกมีดบาด มันตกใจจนต้องสะบัดมือนั้นออก
“คิดถึงผม.. ถ้าเธอคิดถึงผมก็จะมาหาเธอเอง”
“นายทำอะไรกับมือฉันน่ะ” แต่เมื่อยกหลังมือมามองกลับไม่เห็ว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติ
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่เธอคิดถึงผมก็จะรับรู้ได้”
“อ๋อ..” ถึงจะงงกับความหมายแต่ก็คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง
“งั้นไว้เจอกันนะโซย่า”
“อื้อ! ไว้เจอกันนะ” ฉันยังคงมองขึ้นไปบนชั้นสองก็มีฟอร์ซที่ยืนมองลงมาอยู่แบบนั้น เมื่อฉันรู้สึกว่าจัสตินเดินถอยหลังไปจากตรงนี้แล้ว จึงสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ และเดินเข้าบ้านตามคุณแม่มาทันที เมื่อคุยกับคุณแม่สักครู่ก็ขอตัวขึ้นไปนอน
ฉันเดินเข้ามาในห้อง เป็นจังหวะเดียวกับที่ฟอร์ซเดินออกมาเปิดประตูและดึงแขนฉันเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าน้องชายตัวแสบรีบพาฉันมานั่งบนเตียงพร้อมกับจ้องหน้าฉันเขม็งแต่ไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ เรานั่งจ้องหน้ากันแบบนั้นสักพักใหญ่ และเป็นฉันเองที่ทนไม่ไหวกับอาการของน้องชาย
“อยากถามอะไรก็ถามเถอะฟอร์ซ”
“พี่เห็นใช่ไหม” เมื่อฉันเปิดช่องทางให้เขาถาม ฟอร์ซก็เอื้อมมือมาจับมือของฉันเอาไว้พร้อมกับแสดงท่าทางตื่นเต้น
“อื้อ! เห็น”
“ผมดีใจนะที่ผมไม่ได้หลอนไปคนเดียว!” ฉันขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ
“ที่เรากังวลคือเรื่องนี้เหรอ” เพราะก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าน้องชายของตัวเองเห็นสิ่งลี้ลับ เขาต้องกังวลหรือหวาดกลัวกับสิ่งที่เห็นพวกนั้นมาตลอด
“ก็ใช่ดิพี่ ผมนึกว่าผมเห็นคนเดียวซะอีก” แต่ครั้งนี้คำตอบของเขาทำให้ฉันได้แต่อ้าปากค้าง เพราะมันช่างดูเล็กน้อยเสียเหลือเกิน เขาไม่ได้กลัวสิ่งลี้ลับแต่เขากลับกลัวว่าคนอื่นจะมองเขาเป็นบ้าเนี่ยนะ
“จัสตินเขาน่าสงสารนะ” เมื่อเห็นท่าทางสบายอกสบายใจของน้องชายก็ทำให้มีความคิดหนึ่งขึ้นมา ในเมื่อเราสองคนสามารถเห็นจัสตินได้ มันจะดีแค่ไหนถ้าพวกเราเป็นเพื่อนกัน
“ผมไม่รู้ว่าเขาน่าสงสารไหม แต่ก็อยากรู้จักนะ” ฟอร์ซหันมองไปทางหน้าต่างแต่เวลานี้ด้านนอกนั้นว่างเปล่า
“งั้นเรียกเขามาไหมล่ะ” ฉันลองแหย่น้องชายดูว่าเขาจะกลัวไหม แต่กลับทำให้เห็นว่าใบหน้าของเขานั้นเป็นประกายวาววับราวกับเด็กที่กำลังจะได้ของเล่นใหม่
“ได้ด้วยเหรอ”
“ได้ซิ เพราะเขาบอกว่าถ้าพี่คิดถึงเขา เขาจะมาหา”
“งั้นเรียกเขามาเถอะ ฟอร์ซอยากเจอ”
“อื้อ” ฉันยิ้มให้น้องชายที่พร้อมจะเป็นเพื่อนกับจัสตินอย่างสบายใจ หลังจากนั้นสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ก่อนจะหลับตาทำสมาธิ
กำลังใช้ความกล้าทั้งหมดในการคิดว่าถ้าเรียกเขามาตอนนี้จะบอกเขาว่ายังไงดี หรือว่าจะเอาไว้เรียกพรุ่งนี้ดีเพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว แล้ววิญญาณนี่กลางคืนเขาทำอะไรกันเขาจะนอนเหมือนคนไหม หรือว่าจะออกไปหลอกหลอนผู้คนเหมือนในหนัง
ในระหว่างที่ฉันหลับตาทำสมาธิและคิดตบตีกับตัวเองอยู่ ก็รู้สึกมาตลอดว่าฟอร์ซนั้นดึงแขนเสื้อนอนของฉันเบา ๆ เป็นระยะ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาไปสนใจน้องชายมากนัก เพราะต้องหาคำพูดแก้ตัวกับจัสติน ที่ว่าทำไมถึงเรียกเขามาในตอนนี้แถมเป็นในห้องนอนซะด้วย
"หาว~" ฉันได้ยินเต็มสองหูว่าเป็นเสียงของคนที่ปิดปากหาว ในใจก็เริ่มวิตกเพราะคิดว่าน้องชายอาจจะรอนานเกินไปหรือเปล่าถึงได้แสดงออกว่าง่วงนอน
“อย่าเพิ่งหาวซิฟอร์ซ”
“ผมไม่ได้หาวนะ” แต่น้ำเสียงของเขากลับดูเป็นปกติ
“จะมาโกหกทำไมก็พี่ได้ยิน” ฉันยังคงหลับตาพูดคุยกับน้องชายในสมองก็พลันคิดไปว่าจะหาเหตุผลอะไรมาโกหกผีดี
“ก็ผมไม่ได้หาวจริง ๆ นี่นา”
“ก็..” ฉันลืมตาขึ้นมาก็ต้องตกใจ เพราะคนที่ยืนหาวจนตาหยีตรงหน้าฉันไม่ใช่น้องชายตัวเอง แต่เป็นคนที่ฉันยังตบตีกับตัวเองไม่ได้คำตอบว่าจะบอกว่าอะไรที่เรียกเขามาต่างหาก
“ทำไมมาแล้วล่ะ” ด้วยความตกใจจึงละล่ำละลักถามออกไป
“ก็เธอเรียก” เขาตอบออกมาเพียงแค่ก่อนจะปิดปากหาวอีกครั้ง ฉันมองเห็นว่าเขากวาดตามองไปรอบๆด้วยสายตาราบเรียบ ก่อนจะมองหน้าฉันสลับกับน้องชาย
“แต่ฉันยังไม่ได้..” ที่พยายามจะหาข้ออ้างต่าง ๆ นานามาพูดก็ต้องหยุดลงเพราะคำพูดของเขาอีกครั้ง
“แค่เธอคิดถึง.. ผมก็รับรู้ได้แล้ว” จัสตินหันมาจ้องหน้าฉันพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสายตาของเขาที่ผิดแปลกออกไปจากปกติ
“แล้วเขาก็มานานแล้วด้วย ผมสะกิดพี่ตั้งนานไม่ยอมลืมตา” และก็มีน้ำเสียงทับถมมาจากน้องชายที่นั่งกอดอกอยู่บนเตียงนอน
“แล้วนี่ตกลงกับตัวเองได้หรือยัง ว่าจะโกหกเหตุผลผมว่าอะไรดี”